ความเป็นผู้พ่ายแพ้ในระบบการศึกษา

  • 17 มิถุนายน 2568

 

เรื่องโดย แสงอรุณ ลิ้มวงศ์ถาวร, อริสา สุมามาลย์

ภาพประกอบโดย จิดาภา ทัศคร

 

     การสร้างห้องเรียนแห่งความสุขและเปี่ยมความหมายของชีวิต ห้องเรียนที่ทุกคนสามารถค้นพบเส้นทางชีวิตของตนเองและก้าวเดินไปอย่างมั่นคง การได้ช่วยเหลือประคับประคองเยาวชนให้สามารถผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตไปได้... นี่คือความฝันของอาจารย์หนุ่ม - จิรวุฒิ พงษ์โสภณ กับบทบาทความเป็น “ครู”

     ก้าวแรกที่ได้เริ่มทำความฝันนี้ให้เป็นจริงคือ การเป็นนิสิตฝึกสอนเมื่อ 17 ปีก่อน เป็นช่วงเวลาที่นิสิตหนุ่มได้พบกับโลกแห่งความจริงของระบบการศึกษา บรรยากาศที่นักเรียนไม่อยู่กับการเรียนการสอน ปัญหาทะเลาะวิวาท การตั้งแก๊งมั่วสุม การตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม การทยอยหลุดออกจากระบบการศึกษา เหล่านี้สั่งสมความกังวล สงสัย เครียด ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ทับถมพอกพูนในใจของนิสิตครูเปี่ยมฝันอย่างรวดเร็ว ฟางเส้นสุดท้ายมาถึงเมื่อนักเรียนชั้น ม.2 คนหนึ่งในห้องที่นิสิตหนุ่มช่วยประจำชั้นอยู่ถูกคำสั่งให้ออกจากโรงเรียนเนื่องจากขโมยสุราในห้างสรรพสินค้า “ไม่มีหนทางใดที่ดีกว่านี้แล้วหรือ เด็กต้องออกจากโรงเรียนไปด้วยความรู้สึกเช่นไร อนาคตของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป ผมไม่อาจช่วยเหลืออะไรเขาได้เลย” ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัว กลายเป็นอาการเก็บตัว ซึมเศร้า ไม่อยากไปสอน จนต้องย้ายโรงเรียนฝึกสอนเพื่อให้จบการศึกษามาได้ในที่สุด แต่ในใจของนิสิตหนุ่มนั้นรู้ดีว่าเป็นเพียงการทำไปตามหน้าที่อย่างไร้วิญญาณ... นั่นคือความรู้สึกของการเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างหมดรูป ตอกย้ำความรู้สึกด้อยค่าในตัวเองว่าไม่สามารถช่วยเหลือผู้เรียนได้ ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับระบบที่เป็นอยู่ได้ และไม่อาจเป็นครูที่ดีอย่างที่ตนเองคาดหวังได้

     เมื่อก้าวเข้ามาเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ม.มหิดล อาจารย์หนุ่มได้มีโอกาสจัดกระบวนการเรียนรู้แนวจิตตปัญญาศึกษาให้เยาวชนกลุ่มหนึ่ง และพบว่าเด็กกลุ่มนี้เป็นภาพสะท้อนของบาดแผลในอดีตที่ยังคงฝังลึกอยู่ข้างในจิตใจ ถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปคลี่คลายความรู้สึกที่ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ภายในใจมาเป็นเวลายาวนาน จึงเป็นที่มาของงานวิจัย “ความเป็นผู้พ่ายแพ้ในระบบการศึกษา: อัตชาติพันธุ์วรรณนาผ่านชีวิตผู้วิจัย”

 

วิจัยตัวเอง สะท้อนภาพมิติสังคม

     “ความตั้งใจในการเขียนเรื่องราวนี้ออกมา เป็นการฉายภาพชีวิตของคนคนหนึ่งว่าเกี่ยวข้องกับบริบท ต่างๆ ซึ่งเป็นภาพของสังคม เป็นชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่มีชีวิตรอดมาแบบคาบลูกคาบดอก เจอมรสุมอุปสรรค เรื่องราวที่คนรอบตัวอยู่ในโซนสีเทาซึ่งหลายคนไม่รอดจากสิ่งแวดล้อมแบบนั้น แต่บังเอิญผมรอด รอดมาแบบกระท่อนกระแท่น รอดมาจนเขียนงาน ป.โท ชิ้นนี้ออกมาได้ มันก็เลยออกมาเป็นเนื้อหาในงานวิจัย” อาจารย์หนุ่มเล่าถึงความตั้งใจของงานวิจัยชิ้นนี้ ที่เป็นการย้อนกลับไปใคร่ครวญถึงเรื่องราว ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างซื่อตรง เพื่อค้นหาคุณค่า ความหมาย หรือบทเรียนจากประสบการณ์ดังกล่าว ซึ่งเชื่อมโยงกับประเด็นความเป็นผู้พ่ายแพ้ในระบบการศึกษาของผู้วิจัย

     แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่อาจารย์หนุ่มบอกว่าความรู้สึกยังคอยหลอกหลอนกวนใจอยู่เรื่อยมา จึงเป็นโอกาสที่จะได้ “สบตาตรงๆ” กับเงาของประสบการณ์เหล่านั้น เพื่อทำความเข้าใจความหมายที่เหตุการณ์นั้นต้องการสื่อสารกับชีวิต อีกทั้งยังมีภาพของปัจจัยทางสังคมเป็นองค์ประกอบเสริม โดยมีการวิเคราะห์มิติทางสังคมที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ดังกล่าวด้วย ซึ่งอาจช่วยให้เกิดความเข้าใจแง่มุมของระบบการศึกษาที่กระจ่างชัดขึ้น เข้าใจมายาคติที่แฝงเร้นอยู่ในสังคม นำไปสู่ความตระหนักรู้และไม่ต้องถูกผลิตซ้ำอยู่ร่ำไป

     “คีย์เวิร์ดของเรื่องราวมีคำว่า loser มีความเป็นผู้พ่ายแพ้ ทั้งเรื่องของตัวเอง ตั้งแต่ยังเด็กมาจนถึงวัยรุ่นจนถึงมหาวิทยาลัย คนในครอบครัว และคนรอบตัว รู้สึกว่าถ้าเรื่องนี้ถูกเล่าออกมา น่าจะสะท้อนแง่มุมบางอย่างของสังคมได้ เป็นชีวิตหนึ่งที่ดำเนินไป แล้วก็ยังมีชีวิตอื่น ๆ ที่เผชิญอะไรทำนองนี้อยู่ ถ้ามีบางสิ่งที่คนคนหนึ่งไม่ควรได้เจอ เป็นสิ่งที่สร้างบาดแผล บั่นทอน เราจะลดสิ่งเหล่านี้ในระบบการศึกษาลงได้ไหม เป็นการชวนผู้อ่านตั้งคำถามกับสังคมและระบบการศึกษาว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า มีอะไรที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์หรือเปล่า หวังลึก ๆ ว่าถ้าเราเห็นตรงกัน เราก็มาช่วยกันปรับขับเคลื่อนให้ไปในทิศทางหรือแนวทางที่ถูกต้องสอดคล้องกับธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ดีไหม”

     งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) ในรูปแบบมุมมองที่หนึ่ง (first-person) คือมีตัวผู้วิจัยเองเป็นแหล่งข้อมูลหลัก โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแนวอัตชาติพันธุ์วรรณนา (autoethnography) ซึ่งเป็นระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่เปิดโอกาสให้บุคคลผู้อยู่ภายใต้ระบบสังคมวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ ได้เป็นผู้เปล่งเสียงสะท้อนสังคมนั้นด้วยตนเอง และใช้รูปแบบการเขียนแนวเรื่องเล่า (narrative writing) เพื่อให้สำนวนการเขียนสอดคล้องกับเนื้อหาหลักทั้งหมดที่ใช้รูปแบบเรื่องเล่าเป็นแกนสำคัญ

 

การเผชิญหน้าและเปลี่ยนแปลงภายในไปสู่ตัวเองในเวอร์ชันใหม่        

            “ช่วงต้นเขียนไม่ออกเลย เขียนยากมาก เนื่องจากผมเป็นคนที่เขียนหนังสือไม่ได้เลย ไม่สามารถเล่าเป็นเรื่องราวได้ เหมือนโปรแกรมความคิดของผมเมื่อเขียนออกมาแล้วทื่อ ๆ มีแต่ความคิดเต็มไปหมด แต่ไม่มีความรู้สึกเลย พอช่วงเฟสที่ 2 ของการเขียน เหมือนเปิดกล่องแพนโดร่าหรือกล่องความลับที่เก็บบางสิ่งที่เป็นประสบการณ์น่าสะพรึงกลัวในอดีต เรื่องราวต่าง ๆ ที่เราเก็บสะสมแล้วปิดผนึกมันไว้ ไม่ให้อารมณ์ความรู้สึกนั้นเล็ดลอดออกมา เพราะจะทำให้เราเฉา ซึมเศร้า แต่พอเราได้เปิดกล่องนี้ออกมา แล้วจุ่มลงไปในนั้นทั้งอารมณ์ ความรู้สึก คำตัดสิน คำต่อว่าต่าง ๆ ก็เขียนแบบพรั่งพรู ค่อนข้างรุนแรง ตำหนิสังคม ตำหนิระบบการศึกษา เป็นความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ ถูกบังคับให้ต้องพ่ายแพ้”

เมื่อถามว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เปิดกล่องความลับนี้ได้ อาจารย์หนุ่มตอบว่า

     “ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสับสวิตช์ตอนไหน แต่พอถึงจุดหนึ่งที่รู้ว่าแบบนี้ไม่เวิร์คแล้ว ทำให้เราต้องหันมาเผชิญกับมันจริง ๆ คือ confront ซึ่งเป็น C ตัวหนึ่งจาก 7Cs ของจิตตปัญญาศึกษา พอมาเผชิญจริง ๆ ทำให้เห็นว่าเป็นเพราะเราใช้ ‘การคิด’ ก็เลยค่อนข้างตึงมากในการเขียน แต่พอเปลี่ยนโหมดไปเป็นการเขียนจากอารมณ์หรือจากใจโดยตรง จังหวะนั้นสำนวนการเขียนก็เปลี่ยนไปเลย ทำให้สิ่งที่อยู่ข้างในพรั่งพรูออกมา”

     นอกจากนี้ กระบวนการวิจัยของจิตตปัญญาศึกษา กระบวนการเขียน กระบวนการภาวนา ล้วนมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจและทำให้สามารถถอดรหัสสิ่งที่ถูกเปิดออกมาจากกล่องแพนโดร่านั้น อาจารย์หนุ่มระบุในงานวิจัยว่ามีการเตรียมตัวโดยฝึกเจริญสติภาวนาอย่างสม่ำเสมอในรูปแบบอาณาปานสติวันละ 30 นาที มีการเจริญกายคตสติระหว่างวันเป็นระยะเพื่อฝึกทักษะสังเกตและใคร่ครวญตัวเอง รวมถึงการเขียนบันทึกส่วนตัวสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เป็นอย่างน้อยเพื่อฝึกทักษะถ่ายทอดเรื่องราว

            “การเขียนในเฟสที่ 3 ผมเขียนด้วยความสงบนิ่ง มั่นคง สมดุลมากขึ้น และมีหลากหลายมุมมองทั้งเรื่องตัวเอง คนในครอบครัว คนที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าเราจะเล่าจากตัวเอง แต่เหมือนระหว่างที่เขียนเราได้รับรู้ถึงมุมมอง ความรู้สึก ความนึกคิดของคนรอบข้างไปด้วย เช่น พ่อแม่ที่บังคับให้เราไปเรียนสายอาชีวะ ทั้งที่เราไม่ชอบไม่อยากเรียน แต่พอย้อนกลับไปทบทวน เราก็เข้าใจเหตุผลและความคิดของเขาทั้งหมด รู้สึกได้ปลดล็อค เข้าใจถึงความเป็นไปเป็นมาของระบบการศึกษา กระบวนทัศน์ของสังคม ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแบบนี้ มันประกอบกันมา ทำให้ผมต้องเจอแบบนี้ เขียนไปจนค่อย ๆ สืบสาวหาต้นตอ จนพบว่าท้ายที่สุดไม่มีใครเจตนาให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่มันเป็นไปเพราะความเข้าใจผิดของคน เพราะอัตตา เพราะระบบ โครงสร้าง กระบวนทัศน์ที่เคลื่อนกันมาทั้งโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศเรา และผมก็แค่เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ก็เลยทำให้ผมถอดรหัสมันออกมาได้และเยียวยาตัวเองไปด้วย อาการซึมเศร้าที่รบกวนก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เหมือนทำธีสิสไปก็ได้บำบัดตัวเองไปด้วย (หัวเราะ)”

            เมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากการทำวิจัย อาจารย์หนุ่มเล่าว่า

            “เห็น transformation ที่เกิดขึ้นในตัวเองเลยว่า หลังจากที่ทำงานวิจัย ผมสามารถสื่อสารอารมณ์ ความรู้สึกได้ดีขึ้น ทำงานด้วยความมั่นคงมากขึ้นทั้งงานเอกสาร การสอน อยู่กับระบบราชการได้ดีและสมดุลขึ้น เข้าใจในความเป็นไป ทำงานในขอบเขตของเรา และค่อย ๆ ปล่อยให้ผลงานเข้าไปสร้างการเปลี่ยนแปลงกับคนอื่นตามจังหวะทีละเล็กทีละน้อย เอาตัวเข้ามาเผชิญและสังเกตโดยไม่มีอาการดิ้นรน อะไรที่เกินมือหรือ บางอย่างที่เกินความเป็นมนุษย์ที่เราจะสามารถทำได้ เราก็ทำใจว่าเราทำไม่ได้”       

 

การเติบโตของผู้วิจัยและผู้อ่าน

            งานวิจัยชิ้นนี้อาจารย์หนุ่มใช้การเขียนเล่าเรื่องราว “เส้นทางความเป็นผู้พ่ายแพ้ในระบบการศึกษา” ซึ่งเป็นประสบการณ์จริงจากเหตุการณ์สำคัญในชีวิต โดยแบ่งเป็น 4 ช่วง คือ มัธยมศึกษาตอนต้น, มัธยมศึกษาตอนปลาย, ปริญญาตรี และหลังปริญญาตรี ซึ่งในขั้นอภิปรายผล อาจารย์หนุ่มใช้การสรุปออกมาเป็นแผนภาพให้เห็นองค์ประกอบที่สัมพันธ์กัน เพื่อทำความเข้าใจปัจจัยทางสังคมที่หล่อหลอมความเป็นผู้พ่ายแพ้ในระบบการศึกษา พบ 3 องค์ประกอบหลัก ที่ก่อกำเนิดเป็นวงจรความพ่ายแพ้ในชีวิตของผู้วิจัยคือ ปัจจัยทางสังคม การให้ความหมาย และวิธีปฏิสัมพันธ์ต่อโลก ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกัน และสรุปให้เห็นวงจรส่งเสริมความเป็นผู้พ่ายแพ้ ซึ่งเริ่มต้นจากการรับเอาวาทกรรมและมายาคติในสังคมเข้ามาโดยปราศจากการใคร่ครวญ เนื่องด้วยมีกิเลส คือ ความอยากและความกลัว เช่น อยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ อยากได้รับความรักหรือการยอมรับ กลัวความผิดพลาด ล้มเหลว ต้องเรียนหนังสือเก่ง ๆ สอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ จบมาทำการงานที่มั่นคง แต่งงาน มีลูก เป็นอุดมคติที่ลวงหลอกให้เราต้องแข่งขันไปสู่ “ความสำเร็จ” และผลิตซ้ำวาทกรรมให้หลงอยู่บนชุดความคิดนี้จนหาทางออกไม่ได้ ยิ่งดิ้นรนยิ่งหนียิ่งพ่ายแพ้ก็ยิ่งก่อเกิดบาดแผลภายในใจ

            อย่างไรก็ตาม แก่นสารสำคัญที่อาจารย์หนุ่มต้องการสื่อสารกับผู้อ่านและสังคมอยู่ลึกลงไปกว่านั้น หรืออาจกล่าวได้ว่าแทรกซึมอยู่ในเนื้องานทั้งเล่ม

            “ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพียงแผนภาพไดอะแกรมที่อ่านแล้วเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ตัว message ที่อยากสื่อสารน่าจะเป็นประสบการณ์การอ่านของผู้อ่านเอง ที่เข้าไปทำปฏิกิริยากับประสบการณ์เดิมของตัวเอง แล้วคำตอบหรือข้อค้นพบของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป โลกภายนอกคือปัจจัยทางสังคมหล่อหลอมประสบการณ์ของเรา โลกภายในของเราก็เป็นเรื่องการรับรู้ ตีความ ให้ความหมาย ก่อนจะนำมาสู่การแสดงออกเป็นพฤติกรรมของเรา เป็นวิถีชีวิต รูปแบบการคิด การตัดสินใจต่างๆ ซึ่งเป็นข้อค้นพบที่เชื่อมโยงกลับมาที่ระเบียบวิธีวิจัยว่าประสบการณ์ส่วนบุคคลฉายภาพของสังคมออกมาได้อย่างไร เพราะมันเป็นเส้นทางย้อนว่าเราเล่าว่าสังคมมีผลต่อเราอย่างไร มีผลต่อความคิดและการให้ความหมายอย่างไรบ้าง เมื่อก่อนผมให้ความหมายของการศึกษาว่าอย่างไร พอถึงช่วงนี้ของชีวิต ผมให้ความหมายเปลี่ยนไปอย่างไร เกิดมุมมองใหม่ เกิดการตกผลึก ก็มีการให้ความหมายอีกแบบหนึ่ง”

            จุดนี้ทำให้เราเห็นแนวทางของจิตตปัญญาศึกษาที่ให้ความสำคัญกับ ‘กระบวนการเรียนรู้’ ไม่แพ้ตัวองค์ความรู้ งานวิจัยไม่เพียงสร้างการเติบโตของผู้วิจัย แต่ยังทำให้ผู้อ่านงานวิจัยนั้นได้กลับมาย้อนทวนตัวเองและเติบโตผ่านการอ่านซึ่งเป็นกระบวนการทำงานภายใน เป็นประสบการณ์ตรงอันมีค่า การเรียนรู้ภายในเป็นเรื่องของประสบการณ์ ไม่ใช่เรื่องของการได้ข้อสรุป เมื่ออ่านแล้วผู้อ่านอาจได้ข้อสรุปที่เหมือนหรือต่างจากผู้เขียนก็ได้

 

จากผู้พ่ายแพ้สู่ผู้สร้าง ความหวังและความฝันยังส่องประกาย

          แม้จะเคยรู้สึกติดลบกับระบบการศึกษา แต่อาจารย์หนุ่มไม่เคยหมดใจกับการเป็นครูผู้สร้างคนและประคองลูกศิษย์ให้ก้าวเดินต่อไปในเส้นทางของตัวเอง เมื่อถามว่าตอนนี้ยังรู้สึกพ่ายแพ้อยู่ไหม อาจารย์หนุ่มตอบว่า

“เป็นคำถามที่ทำให้ได้กลับมาเช็คข้างในทันทีเลย และคำตอบก็ปิ๊งออกมาทันทีเช่นกันว่า ‘ไม่รู้สึก’ (หัวเราะ) คือ ไม่ได้อยู่ในกระบวนทัศน์ที่มีการแพ้-ชนะแล้ว ทำให้เราไม่ได้ยึดติดในความหมายของ 2 ขั้วว่าแบบนี้ถูกหรือผิด แบบนี้แพ้หรือชนะ เหมือนเราเห็นกระบวนทัศน์ความเป็นองค์รวมทั้งหมด ความเป็นกันและกัน อะไรทำให้แต่ละคนเติบโต เราก็อยากอยู่ตรงนั้นเพื่อทำให้ทุกคนงอกงามในแบบของตัวเองได้”

            ทุกวันนี้ อาจารย์หนุ่มยังมั่นคงในเส้นทางการเป็นครู ความฝันคือการปั้นหลักสูตรจิตวิทยาแนะแนวให้สำเร็จ เพื่อสร้างครูแนะแนวที่มีความหมายต่อเด็กนักเรียน

            “อยากพัฒนาครูแนะแนว อยากสร้าง Change agent ด้วย เป็นครูแนะแนวที่มีทักษะกระบวนกร ทักษะโค้ช”

            งานวิจัยชิ้นนี้เปรียบเหมือนละครชีวิตหรือซีรีส์น้ำดีเรื่องหนึ่ง เราขอชวนให้ลองอ่านฉบับเต็ม (เหมือนดูซีรีส์ให้ครบทุก Ep.) ไม่แน่ว่าคุณอาจเห็นชีวิตของตัวเองโลดแล่นอยู่ในละครชีวิตเรื่องนี้ด้วยก็เป็นได้

 

อ่านรายละเอียดวิทยานิพนธ์ได้ที่

https://drive.google.com/file/d/1HoRxmmDRKZLAUoAQa4i7XcwQwpkPjNiX/view?usp=sharing

 

Back To Top