นักศึกษาจิตตปัญญาศึกษา รุ่น 5
จิตตปัญญาศึกษานั้น ไม่ได้ให้แค่วิชาความรู้ แต่ยังมีอานิสงส์ต่อการดำเนินชีวิตของผู้เรียน และต่อสังคมที่ผู้เรียนอาศัยอยู่ด้วย
จากที่ได้เข้ามาเรียนที่ศูนย์จิตตปัญญาศึกษาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี ทำให้ผมได้เห็นทิศทางใหม่ของกระบวนการการศึกษาที่เชื่อมโยงระหว่าง “โลกภายนอก” กับ “โลกภายใน” เข้าด้วยกันโดยผ่านกระบวนการที่หลากหลาย อาทิ การอ่าน การฟัง การเขียน การลงพื้นที่ ทำกิจกรรม ทำงานวิจัย และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน โดยมีแกนหลักคือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
กระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องนี้ทำให้ผมได้รับรู้และเข้าใจถึงความเป็นไปของสังคม ตลอดจนตระหนักถึงปัญหาที่กำลังก่อตัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆตามแง่มุมต่างๆของโลก ทั้งระดับใหญ่และระดับย่อย โดยทั้งหมดนั้นได้กลับมาสะท้อนและเชื่อมโยงกับมุมมองความรู้สึกนึกคิด และการดำเนินชีวิตของตัวผมเองในแต่ละขณะ ทำให้ผมได้เห็นว่า “ต้นตอ” หรือ “แหล่งกำเนิด” ของปัญหาทั้งมวลนั้นดำรงอยู่ภายในตัวเรานี้เอง จากนั้นจึงเกิดศรัทธาขึ้นมาว่า ในทางกลับกันถ้าหากเราเริ่มต้นแก้ไขที่ชีวิตตนเองในแต่ละขณะ ความเปลี่ยนแปลงนั้นก็จะขยายไปสู่โลกด้วย
ผมสังเกตว่าทุกวันนี้ปัญหาทุกข์ร้อนใจของผมบรรเทาลงไปมาก นอกจากนี้ยังปัญหาหลายอย่างที่เคยวนเวียนอยู่กับคนรอบตัวก็เริ่มทุเลาลงไปเรื่อยๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ผมเชื่อว่าเกิดจากกระบวนการเจริญสติ การทำความเข้าใจและปรับท่าทีต่อปัญหาให้ถูกต้อง ดังนั้นจึงถือว่าการเรียนจิตตปัญญาศึกษานั้นไม่ได้ให้แค่วิชาความรู้ แต่ยังมีอานิสงส์ต่อการดำเนินชีวิตของผู้เรียนและต่อสังคมที่ผู้เรียนอาศัยอยู่ด้วย
นักศึกษาจิตตปัญญาศึกษา รุ่น 4
สำหรับฉัน การมาเรียนจิตตปัญญาศึกษา ก็ช่วยให้ฉันเกิด connection เช่นกัน แต่ในที่นี้ อาจต่างไปในแง่ที่ว่า มันคือการสร้าง connection กับโลกภายในของตัวเอง
จิตตปัญญาศึกษาเป็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตโดยตรง ชีวิตที่ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจเพื่อทำความเข้าใจตนเองให้ดียิ่งขึ้น มันจึงเป็นการเรียนรู้ที่สามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิตตราบได้ที่เรายังคงมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันอาจไม่ใช่การเรียนแบบสำเร็จรูปที่ระบุทิศทางให้คุณเดิน หรือ ตอบคำถามชีวิตให้คุณได้อย่างรวดเร็วทันใจดุจการสไลด์ไอแพด...
แต่กระบวนการเรียนรู้แบบจิตตปัญญานี้จะเข้าไปกระตุ้น....ให้คุณเกิดการแสวงหาภายในตัวคุณเอง !!
คุณจึงเป็นทั้งคนตั้งคำถามและตอบคำถามนั้นด้วยตัวของคุณเอง คุณเรียนชีวิตจากการศึกษาชีวิตจริงของตัวคุณเอง ……
2 ปีแห่งการศึกษาที่จิตตปัญญาอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการมอง และการตั้งคำถามที่สำคัญกับตนเองแต่การตอบคำถามอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของเราในการเรียนรู
หากคุณคาดหวังจะมาเรียนเพื่อให้มีความรู้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้ใบปริญญา หรือดูฉลาดมากขึ้นในเรื่องจิตวิญญาณ จิตตปัญญาอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณ.... ...แต่หากคุณอยากมาเรียนรู้และทำความรู้จักกับตนเองให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ทั้งกับตนเองและผู้อื่น ชื่นชมและยอมรับในสิ่งที่คุณเป็นได้มากยิ่งขึ้น จิตตปัญญาก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับคนที่อยากจะสนิทสนมกับตนเอง....
นักศึกษาจิตตปัญญาศึกษา รุ่น 3
ฉันยังไม่รู้ถึงวันข้างหน้า ว่าจะทำงานอะไร แต่ฉันรู้ว่าจะดำรงอยู่และใช้ชีวิตอย่างไรนได้จริง
ตลอดระยะเวลาของปี ๒๕๕๔ นับตั้งแต่ฉันเข้ามาเรียนต่อระดับปริญญาโท สาขาจิตตปัญญาศึกษา ณ รั้วมหิดล คำถามที่มักได้ยินและถูกไถ่ถามเสมอ ฉันเฝ้าเพียรตอบคำถามครั้งแล้วครั้งเล่า จากกล้อมแกล้มไม่แน่ใจ จนเมื่อเวลาผ่านไป ฉันเริ่มตอบแบบอัตโนมัติประหนึ่งโน้ตที่ท่องจำเพื่อสอบ อดีตมนุษย์เงินเดือน เจ้าหน้าที่กองบรรณาธิการ หัวหน้างาน ผู้จัดการทั่วไป จนถึงกรรมการบริษัทฯ การไต่เต้าตามลำดับขั้น ความสำเร็จจากผลงานและความเอาใจใส่ในหน้าที่รับผิดชอบ ผลตอบแทนด้านรายได้และสังคม กลับไม่ทำให้ฉันค้นพบความสุขได้อย่างแท้จริง ฉันเริ่มตั้งคำถามกับชีวิต และค้นหาหนทางเดินที่ความปรารถนาเบื้องลึกเรียกร้อง
"ฉันยังไม่รู้ถึงวันข้างหน้า ว่าจะทำงานอะไร แต่ฉันรู้ว่าจะดำรงอยู่และใช้ชีวิตอย่างไร"
(รายงานแผนที่ชีวิต เทอม ๑)
๒ มกรา ๒๕๕๗
สายลมหนาวพัดมาปะทะร่างในยามอรุณรุ่ง ฉันลืมตาตื่นค่อยๆ พยุงกายเดินลงมาสำรวจบ้าน เดือนที่ผ่านมาได้มีเวลาอยู่สถานที่นี้เพียง ๒ วัน ฉันใช้ช่วงเวลาเช้า เขียนจดหมายตอบกลับให้ผู้ต้องขังชาย เรือนจำกลางบางขวาง สองปีใหม่แล้วที่ฉันได้รับข้อความอวยพรให้กำลังใจ ฉันมีโอกาสได้เข้าไปทำงานภายในเรือนจำมหันตโทษแห่งนี้ ผ่านโครงการเรื่องเล่าจากแดนประหารที่ทางศูนย์จิตตปัญญาไปทำงานด้านประเมิน การเดินทางเข้าไปสัมผัสชีวิตผู้คนเบื้องหลังกำแพงไม่ง่ายนัก ทว่ามันกลับทำให้ฉันกลับมาตระหนักรู้ตนเองมากขึ้น เห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งที่สัมพันธ์กันทั้งหมด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลมาจากเหตุในอดีต และการกระทำของเราในวันนี้ย่อมส่งผลถึงวันข้างหน้า ฉันส่งผ่านคำพูดของครู ไปยังผู้ต้องขัง ผ่านสมุดบันทึกของเขา ทำทุกวันให้ดี เท่าที่จะทำได้ ตามมี ตามได้ ตามกำลัง เราจะเป็นกำลังใจให้กันและกัน...
จดหมายที่เปิดอ่านมีหลากหลายความรู้สึก
"ศาลฎีกาตัดสินแล้ว ยืนตามศาลอุทธรณ์ คือประหารชีวิต ตอนนี้ทำทูลเกล้าอยู่ครับ คงอีกนานถึงได้กลับบ้าน ครูไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมทำใจได้..."
อีกฉบับเป็นรูปภาพของคนที่ฉันจดจำได้ดี สิบปีที่ถูกคุมขัง วันนี้ได้มีโอกาสออกไปบวชทดแทนคุณให้แม่ ศึกษาธรรมตามที่ตั้งใจ ภาพถ่ายครองจีวรสีเหลือง พร้อมข้อความว่า "ขอมอบบุญความดีงามนี้ให้โยม อ.หมู จงมีแต่ความสุขกาย สุขใจ ตลอดไป"
บนเส้นทางเดินของแต่ละคน หลายคนยังคงวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ในวิถีทางเดิม ขณะที่หลายคนหลุดพ้นพันธนาการที่หน่วงเหนี่ยวจิตใจไว้ สำคัญที่การได้กลับเข้ามาหมั่นสังเกต เรียนรู้มิติภายในตัวเอง ก่อนสะท้อนออกไปยังปรากฏการณ์ภายนอกที่เราเผชิญ วันนี้กับการเดินทางไปจัดกระบวนการเรียนรู้แนวจิตตปัญญา ให้กับบุคลากรในวงการสาธารณสุข และการถ่ายทำรายการสารคดีโทรทัศน์ โดยใช้พื้นความรู้ตามสายวิชาชีพที่เคยร่ำเรียนมา ร่างกายที่เหนื่อยล้าทว่าหัวใจกลับเปี่ยมสุข ฉันนำจิตตปัญญามาใช้กับตัวเอง กับครอบครัว เพื่อนฝูง คนรอบข้าง ผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ส่งต่อขยายออกไปยังชุมชน สังคม การเชื่อมประสานองค์ความรู้และประสบการณ์ชีวิต ทำให้ค้นพบคุณค่าและความหมายในสิ่งต่างๆ ที่อยู่รายรอบ แต่ละย่างก้าวเป็นไปด้วยความอบอุ่นมั่นคง และใจสัมผัสกับความงดงามแห่งชีวิต ที่ฉันค้นหามาอย่างยาวนาน...
นักศึกษาจิตตปัญญาศึกษา รุ่น 5
สำหรับฉัน การมาเรียนจิตตปัญญาศึกษา ก็ช่วยให้ฉันเกิด connection เช่นกัน แต่ในที่นี้ อาจต่างไปในแง่ที่ว่า มันคือการสร้าง connection กับโลกภายในของตัวเอง
ฉันเคยได้ยินว่า เหตุผลหนึ่งที่ใครหลายคนเลือกเรียนปริญญาโท คือ การสร้าง connection สำหรับฉัน การมาเรียนจิตตปัญญาศึกษา ก็ช่วยให้ฉันเกิด connection เช่นกัน แต่ในที่นี้ อาจต่างไปในแง่ที่ว่า มันคือการสร้าง connection กับโลกภายในของตัวเอง
การที่ฉันได้สัมผัสสัมพันธ์กับตัวตนแบบนี้ เอื้อให้ฉันได้เกิดความรู้ประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นความรู้ที่มีความหมายต่อชีวิตอย่างมาก นั่น คือ การรู้จักแบบแผนความเคยชินเดิม โดยที่ผ่านมามันได้ขับเคลื่ อนให้ฉันมีท่าทีหรือปฏิกิริยาตอบสนองต่อเรื่องราวต่างๆแบบ อัตโนมัติ
การเรียนจิตตปัญญาศึกษา ทำให้ฉันได้มีโอกาสฝึกฝนในการสังเกต และทำความรู้จักกับแบบแผนเหล่านี้ เพื่อที่จะเท่าทันตนเองและไม่อยู่ภายใต้การตอบสนองต่อสิ่งที่ เข้ามากระทบในรูปแบบเดิม แต่เป็นการค้นพบทางเลือกใหม่ที่เต็มไปด้วยอิสรภาพ
นักศึกษาจิตตปัญญาศึกษา รุ่น 3
เส้นทางการเรียนรู้ของผมไม่ได้สิ้นสุดไปกับการเรียนที่จบลง แต่ยังดำเนินต่อไป อาจจะตลอดชีวิต และผมเชื่อมั่นว่าแนวทางนี้ สามารถช่วยให้ผมมีชีวิตที่สมดุลขึ้นได้จริง
การเรียนในหลักสูตรนี้เป็นการเรียนที่ใช้ "ชีวิต" เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ มีทั้งส่วนที่เป็นทฤษฎีและการปฏิบัติ ส่วนของทฤษฎีช่วยเปิดโลกทัศน์ของผมให้กว้างขึ้น มองเห็นมิติด้านอื่นของชีวิตนอกเหนือจากเรื่องวัตถุได้ชัดเจนและลึกซึ้งขึ้น ทำให้มีทางเลือกมากขึ้นที่จะใช้ชีวิตแบบที่ตอบสนองต่อความต้องการเบื้องลึกของตัวเอง ส่วนในทางปฏิบัติผมก็ได้แนวทางในการเรียนรู้ชีวิตที่สำคัญ คือการใช้สติตระหนักรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวภายในใจของเราเอง และใคร่ครวญเพื่อให้เกิดความเข้าใจตนเองและธรรมชาติของชีวิต สิ่งที่ได้จากการเรียนในหลักสูตรนี้จึงไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้าย ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่ขึ้นกับการนำสิ่งที่ได้รับรู้ไปปฏิบัติฝึกฝนในชีวิต ผลลัพธ์ที่เกิดจึงเป็นไปตามประสบการณ์ตรงของแต่ละบุคคลและบริบทแวดล้อมที่อาจแตกต่างกันไป ซึ่งสำหรับผมแล้วสิ่งหนึ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งคือการได้มีพื้นที่ที่สามารถแบ่งปัน หรือแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้แก่กันทั้งระหว่างศิษย์กับอาจารย์และระหว่างเพื่อนกันเองอย่างไว้วางใจ ช่วยให้เกิดความเข้าใจทั้งชีวิตตนเอง ชีวิตผู้อื่น และเกิดความเชื่อมโยงกันด้วยคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่ลึกๆแล้วล้วนไม่แตกต่าง ... ณ จุดเริ่มต้น ผมตัดสินใจเข้ามาเรียนเพราะคำอธิบายที่กระทบใจเกี่ยวกับจิตตปัญญาศึกษา ว่าเป็นการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ ที่เอื้อให้เกิดความเข้าใจตนเองและธรรมชาติของชีวิตอย่างลึกซึ้ง อันนำไปสู่ความเข้าใจผู้อื่น เกิดความรักความเมตตาต่อกัน ใช้ชีวิตที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อตนเองและสังคมได้อย่างสมดุล ... ถึงวันนี้ผมรู้สึกดีใจที่ได้เข้ามาเรียนที่นี่ เส้นทางการเรียนรู้ของผมไม่ได้สิ้นสุดไปกับการเรียนที่จบลง แต่ยังดำเนินต่อไป อาจจะตลอดชีวิต และผมเชื่อมั่นว่าแนวทางนี้สามารถช่วยให้ผมมีชีวิตที่สมดุลขึ้นได้จริง
นักศึกษาจิตตปัญญาศึกษา รุ่น 2
การนำตัวและนำใจลงสนามเพื่อการเรียนรู้ และการมีกัลยานมิตรที่ร่วมเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน สะท้อนความจริงต่างๆ และประคับประคองการเดินทางด้านใน เพื่อการเปลี่ยนแปลงและยกระดับจิต เป็นหัวใจหลักของการเรียนการสอนที่นี่
ตั้งแต่เห็นชื่อหลักสูตรก็เกิดความสงสัยว่าที่นี่สอนอะไรและสอนอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้เข้ามาเรียนที่จิตตปัญญาศึกษานี้เป็นเพราะคุณค่าหลักที่หลักสูตร ได้แจกแจงไว้คือการพัฒนามนุษย์จากมิติด้านใน ซึ่งตรงกับความเชื่อและความสนใจส่วนตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้เข้ามาเรียนรู้และสัมผัสรูปแบบการเรียนการสอนของที่นี่ผ่านประสบการณ์ตรง เห็นว่าที่นี่มีรูปแบบการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสลงไปเรียนรู้ทั้งตัวทั้งใจ ไม่ใช่แค่เพียงเรียนความรู้ผ่านความคิดเท่านั้น การนำตัวและนำใจลงสนามเพื่อการเรียนรู้และการมีกัลยานมิตรที่ร่วมเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน สะท้อนความจริงต่างๆและประคับประคองการเดินทางด้านในเพื่อการเปลี่ยนแปลงและยกระดับจิต เป็นหัวใจหลักของการเรียนการสอนที่นี่ แต่ละคนจะมีโอกาสพัฒนาตนเองตามโจทย์และจังหวะที่เหมาะสมโดยได้รับการบ่มเพาะ จากกลุ่มและมีเครื่องมือต่างๆที่จำเป็นต่อการเดินทางบนเส้นทางนี้ นอกจากนั้น ที่จิตตปัญญาศึกษา มหิดลนี้ ยังเป็นเหมือนประตูที่เชื่อมโยงไปสู่เครือข่ายต่างๆที่ทำงานในด้านการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ และจิตสำนึกทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ผู้เรียนได้เลือกที่จะก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ตนเองเลือก ตรงกับคุณค่าและความถนัดส่วนบุคคล แล้วยังสามารถคงไว้ซึ่งแก่นของความเป็นจิตตปัญญาศึกษา ที่ได้บ่มเพาะมาจากกระบวนการเรียนการสอนของที่นี่ด้วย
นักศึกษาจิตตปัญญาศึกษา รุ่น 4
เราจะเข้าใจความทุกข์ของคนอื่น และช่วยเหลือเขาได้อย่างไร หากเราไม่เรียนรู้และเข้าใจ ทุกข์ ของตนเองก่อน
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเรียนจิตตปัญญาศึกษาแล้วดีอย่างไร??? ฉันได้อะไรจากการเรียนที่นี่บ้าง??? คงต้องมาลองเรียนรู้ด้วยตนเองเพราะแต่ละคนก็ต่างเดินเข้ามาด้วยโจทย์ที่แตกต่างกัน สำหรับฉันแล้วรู้แต่เพียงว่าทั้งความคิด มุมมองและวิถีชีวิตหลายอย่างนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
เมื่อชีวิตเกิดคำถามว่า "การเกิดมาครั้งนี้ของฉันควรทำอย่างไรเพื่อให้มีประโยชน์ มีคุณค่าและคุ้มค่าต่อการมีชีวิตอยู่" ฉันจึงก้าวเข้ามาที่จิตปัญญาศึกษาเพราะปรารถนาจะได้เครื่องมือดีๆ ที่จะนำไปใช้ช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากให้กับคนอื่น แต่สิ่งแรกที่ฉันเรียนรู้จากที่นี่ คือ "เราจะเข้าใจความทุกข์ของคนอื่นและช่วยเหลือเขาได้อย่างไรหากเราไม่เรียนรู้และเข้าใจทุกข์ของตนเองก่อน" การเรียนที่นี่จึงเป็นการเรียนรู้ที่ใช้ตัวเองเป็นฐานเพื่อที่จะเข้าใจตนเอง ทันกับความคิดและความรู้สึกที่เกิดขึ้น
เดิมทีด้วยดีกรีที่เรียนจบจิตวิทยามาก็คิดว่ารู้จักตนเองเป็นอย่างดีแล้ว แต่ที่ไหนได้โดนตนเองหลอกก็หลายครั้ง ฉันไม่เคยรู้เลยว่าความคิดนี่แหละที่มักผลักเราตกหลุมแห่งความทุกข์อยู่เสมอ การได้กลับมาทบทวนตนเองอยู่เสมอผ่านบทเรียนต่างๆของครูบาอาจารย์ ผ่านการใช้ชีวิตร่วมกันกับเพื่อนๆร่วมรุ่น หรือการใช้ชีวิตในสนามจริง ถือเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่ชวนให้ฉันกลับมาทำความรู้จักกับตัวเองมากขึ้นเรียนรู้ที่จะยอมรับและยินยอมให้ชีวิตไม่สมบูรณ์บ้าง เพื่อเรียนรู้กับความไม่สมบูรณ์นั้น เรียนรู้ที่จะเมตตาและเอ็นดูตนเองบ้างเมื่อฉันไม่อาจทำได้ดังที่ตนคาดหวังไว้ เพราะหากเราเอ็นดูตนเองเป็น มันก็ไม่ยากที่จะเอ็นดูคนอื่น ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวฉันนั้นกระจ้อยร่อย ฉันไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ฉันเป็นเพียงผู้เรียนรู้และฝึกฝนตน เรียนรู้ที่จะน้อมรับ เคารพกับทุกโอกาส ทุกบทเรียน ทุกสถานการณ์ที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของฉันไม่ว่าจะดีหรือร้าย สภาพใจแบบนี้ฉันรับรู้ได้ถึงความเบาสบายของชีวิต ฉันรู้สึกว่าความสุขอยู่รายล้อมตัวฉันและมากมายกว่าเดิม และที่สำคัญฉันรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงไปของคนในครอบครัวเมื่อฉันมีสภาพใจที่เปลี่ยนไป...