เรื่องและภาพ: แสงอรุณ ลิ้มวงศ์ถาวร
ครูบาอาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี และวิทยาลัยอาชีวศึกษาใน “โครงการพัฒนากลุ่มคนทำงานสื่อในโครงการหยั่งรากจิตตปัญญา” ได้วางหมวกคุณครูไว้ชั่วคราว มาเข้าค่ายเป็นนักเรียนเพื่อสวมบทบาทใหม่ในการเป็น Creator หรือนักสื่อสารใน “ค่ายสื่อสารหยั่งรากจิตตปัญญาศึกษา” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 11-12 กันยายน 2568 ที่โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ
บรรยากาศการพบกันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความครึกครื้น และความตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อนร่วมวิชาชีพจากต่างสถาบันแบบตัวจริงเสียงจริง หลังจากที่ได้เห็นหน้ากันมาบ้างแล้วทางออนไลน์ เนื่องจากก่อนหน้านี้ อาจารย์เหมียว - ดร.อริสา สุมามาลย์ และอาจารย์ตี่ - ดร.ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ม.มหิดล ได้นัดอบรม เติมความรู้ เพิ่มทักษะต่าง ๆ มาแล้ว 7 ครั้งตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา มีอาจารย์รับเชิญแวะเวียนมาให้ความรู้เกี่ยวกับการทำสื่อ เช่น การเขียนถ่ายทอดประสบการณ์, Storytelling, การทำคลิป, ตัดต่อวิดีโอ, การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ เรียกว่าจัดให้ตามรีเควสของผู้เรียนแบบไม่มีกั๊ก
จิตตปัญญาศึกษาคือวิถีชีวิต
หลังจากที่ชาวค่ายแนะนำตัว ได้ยินความตั้งใจของตัวเองและเพื่อนแล้ว รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ ผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ม.มหิดล เปิดค่ายด้วยการล้อมวงพูดคุยอย่างเป็นกันเองในเนื้อหาที่น่าสนใจ อาจารย์เล่าถึงการศึกษาที่ไม่ได้เป็นเพียงวิชาที่เรียนแล้วจบไป หลักสูตรที่ไม่ได้มีไว้เรียนที่โรงเรียนหรือสถานศึกษาเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่แฝงอยู่ในทุกจังหวะของชีวิต ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา การศึกษาแบบนี้เป็นประเด็นใหญ่ที่โลกการศึกษาพูดถึงกันมาก เรียกว่า Hidden Curriculum ซึ่งเข้ากับบริบทของจิตตปัญญา ตรงที่ไม่ใช่วิชาเฉพาะที่แยกออกมาเป็นวิชาให้เรียนและสอบให้ผ่านก็จบ แล้วเปลี่ยนไปเรียนวิชาอื่นต่อไป เพราะจิตตปัญญาเป็นวิถีชีวิต ไม่ใช่การเรียนเฉพาะที่โรงเรียนแล้วจบไป อาจารย์เน้นเรื่องการเรียนรู้เป็นหลักใหญ่ และเตือนให้ระวังการมุ่ง outcome จนลืม process การศึกษาที่ยึดติดอยู่กับความถูก-ผิดจนบดบังการเรียนรู้จะสร้างปัญหาต่อการเรียนรู้เสียเอง
นักสื่อสารจากมุมมอง Learner และ Creator
อาจารย์ทาม - นเรศ เสวิกา ชวนชาวค่ายให้ทำกิจกรรมอย่างมีความสุข โดยกลับมาสำรวจตัวเองอย่างลงลึกและเต็มที่ อิสระจากความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ทั้งหมดเหมือนตอนที่อยู่ในภาวะฝัน เลือกการ์ดที่ connect กับตัวเองแล้วสื่อสารออกมาเป็นภาพวาดตามที่จินตนาการและหัวใจจะพาไป แล้วเขียนคุณค่าความหมายของ ‘ฉัน’ กับการเป็นนักสื่อสารจิตตปัญญาไว้ในภาพ และจับกลุ่มผลัดกันเล่าให้เพื่อนฟัง เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ชาวค่ายได้ทำงานกับตัวเอง ได้เห็นความเป็นนักสื่อสารในตัวเอง รู้ว่าจะเป็นนักสื่อสารแบบไหน และเห็นคุณค่าความหมายของการสื่อสารนั้น นอกจากได้ใช้เวลาทำงานกับตัวเองแล้ว ยังได้รับฟัง แลกเปลี่ยน รู้สึก และแสดงความรู้สึกต่อคนตรงหน้า บรรยากาศในห้องโอบอุ้มไปด้วยพลังงานดี ๆ ที่ส่งถึงกัน การแชร์กันทำให้วงได้รับรู้ว่า จากค่ายนี้เราจะได้นักสื่อสารจิตตปัญญาที่มี ‘หน้าตา’ อย่างไร เช่น ฉันจะเป็นนักสื่อสารที่พร้อมเปิดใจ ให้เด็กเรียนรู้ด้วยใจเบิกบาน, ฉันจะเป็นนักสื่อสารที่สร้างการตื่นรู้ให้คนที่อยู่ในห้องเรียนแห่งความสุข, ฉันจะเป็นนักสื่อสารที่ทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ สำรวจตัวเอง และผ่อนคลายจากเรื่องหนัก ๆ
ช่วงบ่าย อาจารย์ทามพาชาวค่าย Zoom out ออกจากมุมมองของตัวเอง แล้วลองมองอย่างผู้สังเกตการณ์ว่าเห็นอะไรเกิดขึ้นบ้าง ทำให้ชาวค่ายได้ทดลองถอยออกมามองกิจกรรมที่ได้ทำไปแล้วจากมุมที่กว้างขึ้น ย้ายจากการมองด้วยมุม Learner เป็นการมองด้วยมุม Creator หลายคนสนุกกับการสลับมุมมองเพื่อเห็นรายละเอียดบางอย่างมากขึ้น Zoom in เข้าไปเห็นความรู้สึกของตัวเองในบทบาท Learner แล้วสลับเป็น Zoom out ออกมามองกิจกรรมที่เกิดขึ้นจากมุม Creator ซึ่งการมองจากมุม Creator นี้เองทำให้เห็นถึงวิธีการ วิธีคิด เนื้อหา และคุณลักษณะภายใน (Being) ของสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน การมีมุมมองที่ชัดใสทั้งตอน Zoom in (เห็นและเข้าใจตัวเอง) และ Zoom out (เห็นและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น) น่าจะเป็นมุมมองที่น่าสนใจและน่าเรียนรู้ของนักสื่อสารจิตตปัญญา
4 กระบวนการฐานใจ
หลังจากชาวค่ายได้ประสบการณ์การเป็นทั้ง Learner และ Creator แล้ว ก็ได้เวลาที่อาจารย์ทามจะแจก “Framework: 4 กระบวนการฐานใจ” ที่ได้ค้นพบจากการเป็นกระบวนกร (ผู้จัดกระบวนการเรียนรู้) เพื่อส่งเสริมความเข้าใจให้แจ่มแจ้งมากขึ้นไปอีก
1. Open Heart เปิดใจ – เช่น Check in, ละลายน้ำแข็ง, สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
2. Touch the Heart สัมผัสใจ- เช่น กิจกรรมหรือกระบวนการที่ชวนให้ผู้เรียนหรือผู้รับสารได้กลับมาอยู่กับตัวเอง อาจใช้เครื่องมืออย่างการ์ดหรือศิลปะก็ได้
3. Hold the Heart โอบอุ้มใจ - เช่น จับคู่หรือจับกลุ่มแบ่งปันเรื่องราวแก่กันและกัน การฟังอย่างลึกซึ้ง การสะท้อนคิด
4. Move the Heart ขยายใจ - เช่น กิจกรรมที่ขยายหรือเปลี่ยนประสบการณ์เดิมให้มีความหมายใหม่ การเขียนจดหมายถึงตัวเอง Role play
แจก Framework แล้ว ก็ต้องแจกการบ้าน อาจารย์ทามให้ชาวค่ายทดลองออกแบบสื่อตาม Framework ให้เหมาะกับบริบทหรือหน้างานของตัวเอง จังหวะนี้เองการ์ดนับร้อยที่อาจารย์ทามสั่งสมมาทั้งชีวิตได้ปรากฏต่อสายตาชาวค่าย ดูกันละลานตาเพื่อเปิดพื้นที่ไอเดียใหม่ ๆ ลองเล่นกันสนุกสนาน แจกไอเดียสดใหม่น่าสนใจถึงขั้นเกือบจะพรีออร์เดอร์กันเลยทีเดียว เป็นบรรยากาศการทำการบ้านและส่งการบ้านที่สนุกสนานและมีความสุข ชาวค่ายตั้งใจรับฟังสื่อที่เพื่อนออกแบบ ยิ่งรู้ว่าเพื่อนบางคนจะนำการบ้านนี้ไปใช้จริงเร็ว ๆ นี้ ยิ่งช่วยกันแนะ ช่วยกันเติม จบวันด้วยความอิ่มเอมใจ
อาจารย์ทามเปิดใจว่า “วันนี้ได้ผลเกินคาด สื่อคือการที่เราสามารถนำเสนอเนื้อหาบางอย่างในตัวเราหรือองค์ความรู้ที่เรามีอยู่ในตัวเองไปสู่ผู้อื่นได้ จึงไม่จำกัดรูปแบบ จะเป็นวิดีโอ การ์ด เวิร์กชอป กิจกรรม กระบวนการ เป็นอะไรก็ได้ สิ่งสำคัญคือ สิ่งที่เป็นเนื้อเป็นตัวของผู้สื่อสาร และการออกแบบการเรียนรู้”
นักสื่อสารจิตตปัญญา
เช้าวันที่สองเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย เพราะเป็นการนำเสนอสื่อที่แต่ละคนตั้งใจปั้นมาตั้งแต่เริ่มต้นโครงการตอนต้นปี ได้เรียนรู้ นำไปลองใช้ในห้องเรียน ปรับเปลี่ยน กลับมาเติมทักษะ กลับไปลองใช้ใหม่ เป็น Experiential Learning คือการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์การลงมือทำจริง นำไปสู่การพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้อย่างยั่งยืน
สื่อที่ชาวค่ายนำเสนอ เช่น วิดีโอการ์ตูนจาก AI, คลิปสัมภาษณ์ความสำเร็จ, คลิปภาพมีดนตรีประกอบ, คลิปภาพพร้อมเสียงบรรยาย, วิดีโอสรุปกิจกรรม, คลิปเนื้อหาวิชาการ แม้รูปแบบจะหลากหลาย แต่มีจุดร่วมคือทุกคนทำสื่อด้วยความตั้งใจ และนำความรู้ความเข้าใจจิตตปัญญาที่มีอยู่ในตัวถ่ายทอดผ่านสื่อ ทำให้เห็นเส้นทางการเข้าสู่วงการจิตตปัญญา การนำเครื่องมือหรือแนวทางจิตตปัญญาไปปรับใช้ให้เป็นห้องเรียนที่มีความสุข ทำให้เราได้เห็นรอยยิ้มและความน่ารักของครูและเด็กในหลายพื้นที่ การนำเสนอได้รับคำชื่นชมและคำแนะนำหอบใหญ่ เช่น จุดในการเชื่อมโยงจิตตปัญญากับวิชาเรียนในเชิงเนื้อหา แก่นของจิตตปัญญาคือการตระหนักรู้ภายใน คำแนะนำในเชิงเทคนิคเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ เป็นต้น
อาจารย์เหมียวเล่าถึงงานนี้ว่า “process สำคัญมากกว่าตัว product การเจอกันแบบออนไซต์ทำให้มีสมาธิง่ายขึ้น การเรียนรู้ลงลึกได้มากกว่าออนไลน์ที่มีเวลาเพียงครั้งละ 2 ชั่วโมง มีเครือข่ายที่ได้ช่วยเหลือกัน ในกระบวนการทำงานสื่อจะต้องตกผลึกวิธีคิด จิตตปัญญาอยู่ในเนื้อในตัว อยู่ในวิธีคิด จึงเป็นการพัฒนาวิธีคิดของคนทำงานให้เขาชัดเจนในสิ่งที่ทำ มีวิธีคิดเพื่อให้สิ่งที่เขาทำมีพลังส่งต่อให้รอบตัวได้มากขึ้น งานนี้ได้ข้อค้นพบสำคัญคือ คนที่เคยเข้าโครงการหยั่งรากฯ มาเป็น 10 ปีแล้ว เขายังทำอยู่ และต้องการการสนับสนุน ก็ใช้พื้นที่ตรงนี้ดูแล เข้าใจและเติมใจ คือเข้าใจความเป็นจิตตปัญญามากขึ้น และได้เติมพลังใจที่จะทำต่อไป”
ส่วนอาจารย์ตี่บอกว่า “เป็นการรวมกลุ่มของคนที่ทำงานในหยั่งรากฯ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงหรือchange agent ของแต่ละพื้นที่ แล้วได้มาเจอมารู้จักกัน และได้เจออาจารย์คนอื่น ๆ ของศูนย์จิตตปัญญา ทำให้เห็นมุมของจิตตปัญญาที่แตกต่างออกไปจากที่เขาเคยเห็น สิ่งสำคัญคือเขาได้เข้าใจและมั่นใจว่าสิ่งที่ทำอยู่คือจิตตปัญญา และคนที่มั่นใจก็จะสื่อความเป็นจิตตปัญญาออกไปสู่สังคมได้อย่างแท้จริง”
ก่อนปิดค่ายเป็นช่วงเวลาของการเช็คเอาต์ที่เต็มไปด้วยเสียงแห่งความสุขใจและไฟฝัน
“ค่ายนี้มีชีวิตชีวา ทำให้เราเรียนรู้อย่างมีความสุข”
“อิ่มเอมใจทุกครั้งที่ได้อยู่กับกระบวนการจิตตปัญญา ได้เติมเต็มเรื่องการทำสื่อ คำแนะนำทำให้อยากกลับไปทำต่อ”
“การทำสื่อช่วยให้ตกผลึกสิ่งที่เข้าใจเพื่อสื่อสารกับผู้อื่นได้”
“เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเราได้เรียนรู้”
“ประทับใจมาก ได้เจอคนที่มีหัวใจเดียวกัน เป็นทางออกและทางรอดในการเดินทางของเรา”
“ค่ายนี้บางมุมเราจุดพลังให้เพื่อน บางมุมเพื่อนจุดพลังให้เรา ขอบคุณที่มีพื้นที่แบบนี้ การสื่อสารแบบที่เป็นธรรมชาติที่สุดคือสื่อสารเรื่องของเราเอง”
“ขอบคุณจิตตปัญญาที่ทำให้ได้รู้จักตัวเอง เมื่อครูคนหนึ่งมีความมั่นคงพียงพอ ก็จะถ่ายทอดความมั่นคงต่อไปยังลูกศิษย์ได้ จากลูกศิษย์หนึ่งคนไปเป็นห้องเรียน ไปเป็นสาขา เป็นคณะ เติบโตเบ่งบานในวิถีของมัน”
“เราต้องกลับไปลุยต่อ จะพัฒนาตัวเองต่อไป”
“ตัวเราคือสื่อที่ดีที่สุด พร้อมเติบโตและผลิบานต่อไป”
“ค่ายสื่อสารหยั่งรากจิตตปัญญาศึกษา” ทำให้เราเรียนรู้ว่า ครูที่ตระหนักรู้ภายใน เมื่อไปทำหน้าที่สื่อสาร โลกก็จะได้นักสื่อสารที่ตระหนักรู้ภายใน นั่นคือนักสื่อสารจิตตปัญญา