ผ่านไปแล้วกับเสวนา “หยั่งรากจิตตปัญญา สู่สังคมสุขภาวะ” ที่จัดขึ้นในวันที่ 13 ส.ค. 2568 ที่ห้องประชุมสระบัว อาคารประชาสังคมอุดมพัฒน์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล วิทยาเขตศาลายา เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์จริงของอาจารย์ในเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ ผู้ขับเคลื่อน “จิตตปัญญาศึกษา” ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ขยายสู่ห้องเรียน นักเรียน องค์กร และชุมชน
จุดประกายความสุขและความหวังของ “คนเป็นครู”
เวลา 2 ชั่วโมงของการเสวนาเป็นการเปิดประเดิมการทำงานหลังวันหยุดยาวด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ดังเป็นระยะ จากอาจารย์ในเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ 3 ท่าน คือ อาจารย์ไก๋ - ผศ.ดร.สัจธรรม พรทวีกุล คณบดี คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ ม.ราชภัฏร้อยเอ็ด อาจารย์กุ๊ก - อ.กนกวรรณ
แก้วอุไทย ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายบริการวิชาการ ม.ราชภัฏภูเก็ต อาจารย์อ้อน - ผศ.ดร.วิยดา เหล่มตระกูล อดีตคณบดี คณะครุศาสตร์ ม.ราชภัฏลำปาง และ อาจารย์อุ๊ย - อ.ดร.จิรัฐกาล พงศ์ภคเธียร
ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ม.มหิดล ร่วมพูดคุย โดยมี คุณแวว - ณาตยา แวววีรคุปต์ จากสถานีโทรทัศน์
ไทยพีบีเอส เป็นผู้ดำเนินรายการ วงเสวนาจุดประกายความสุขและความหวัง สร้างพลังใจในการพัฒนาการเรียนการสอนของ “คนเป็นครู” และ “คนทำงานด้านการศึกษา”
เริ่มจากการเติบโตเปลี่ยนแปลงภายในตัวครู ขยายสู่การพัฒนาผู้นำชุมชนเข้มแข็ง
ก่อนการเปิดวงพูดคุย มีการฉายวิดีโอเพื่อนำเสนอให้เห็นภาพรวมของโครงการ Smart Leader ของ ม.ราชภัฏภูเก็ต หนึ่งในรูปธรรมที่แสดงให้เห็นการขยายวงแห่งความก้าวหน้าและความสำเร็จจากห้องเรียนไปสู่ชุมชน อาจารย์กุ๊ก - อ.กนกวรรณ แก้วอุไทย ขยายความว่าตัวอาจารย์กุ๊กและเพื่อนอาจารย์ได้เข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้แนวทางจิตตปัญญาศึกษาในโครงการหยั่งรากจิตตปัญญาฯ เมื่อ พ.ศ.2562-2563 แล้วเห็นการเปลี่ยนแปลงและเติบโตภายในตัวเองอย่างมาก จึงนำไปใช้ในห้องเรียน โดยจัดทำเป็นรายวิชา “การพัฒนาตน” ซึ่งกำหนดให้นักศึกษาปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 ทุกคนได้เรียน สำหรับการขยายสู่ชุมชน เกิดจากการที่มหาวิทยาลัยราชภัฏมียุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ในส่วนงานบริการวิชาการจึงได้เริ่มนำแนวทาง
จิตตปัญญาศึกษาไปใช้กับชุมชนภายใต้โครงการบริการวิชาการเพื่อท้องถิ่น ซึ่งมีทั้งพื้นที่ จ.ภูเก็ต กระบี่ และพังงา เช่น โครงการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชน พัฒนาเยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พัฒนาผู้ต้องขังในเรือนจำเพื่อเตรียมพร้อมต่อการปล่อยตัวคืนสู่สังคม เป็นต้น
อาจารย์กุ๊กเปิดใจว่า “งานบริการวิชาการไม่ใช่การสั่งให้ชุมชนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่คือการพัฒนาผู้นำที่มีศักยภาพ เข้มแข็ง และสามารถสร้างให้คนในชุมชนอยู่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งทุกกระบวนการที่ใช้มาจากฐานของจิตตปัญญาศึกษาทั้งหมด โดยมีอาจารย์จากศูนย์จิตตปัญญาศึกษาเป็นพี่เลี้ยงในการสร้างคนจากการพัฒนาภายใน ให้เขาเห็นจิตวิญญาณของความเป็นคน จิตวิญญาณของความเป็นครู และจิตวิญญาณของความเป็นผู้นำในตัวเอง อิมแพคที่เกิดขึ้นคือ ผู้นำชุมชนมาบอกว่าขอนำเอาสิ่งนี้ไปสอนให้นักเรียนในชุมชนด้วยได้ไหม เขานำไปบอกต่อนายกฯ ในพื้นที่ ผลลัพธ์ที่ได้คือความสุข และที่มากกว่านั้นคือเราสร้างความสุขให้คนอื่นได้”
ไม่น่าแปลกใจเลยว่า โครงการ Smart Leader ในปีหน้า มีชุมชนตบเท้าเข้าคิวยาวมากกกเพื่อร่วมโครงการ เมื่อคนรอไม่ท้อ คนทำก็ไม่ทิ้ง อาจารย์กุ๊กลั่นวาจาด้วยพลังความสุขที่เปี่ยมล้นว่า
“เป็นผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่เหนื่อย ไม่โดดเดี่ยวเพราะมีเพื่อน มีเครือข่าย เป็นความมหัศจรรย์ของการทำงานที่เกิดจากการเติบโตภายในอย่างแท้จริง จะสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในอันดามันให้ได้”
อาจารย์อุ๊ย - อ.ดร.จิรัฐกาล พงศ์ภคเธียร เสริมว่า “โครงการหยั่งรากจิตตปัญญาฯ เป็นการพัฒนาทีมแกนนำก็คืออาจารย์ใน ม.ราชภัฏ เมื่อแกนนำได้เรียนรู้ทักษะ ได้รับการบ่มเพาะ ฟื้นฟูศักยภาพภายในจนเติบโตและแข็งแรง เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ก็จะขยายไปสู่ห้องเรียน และเคลื่อนไปทำภารกิจสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ต่อไป อย่างที่ ม.ราชภัฏภูเก็ตทำโครงการ Smart Leader ให้ชุมชน หลักการทำงานของโครงการหยั่งรากจิตตปัญญาฯ จะไม่เพิ่มภาระให้อาจารย์ แต่เป็นตัวช่วย เป็นเหมือนซอฟต์แวร์ให้อาจารย์ทำงานในบทบาทหน้าที่ตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้”
เมื่อครูมีความสุข นักเรียนก็มีความสุข
ด้าน ม.ราชภัฏร้อยเอ็ด อาจารย์ไก๋ - ผศ.ดร.สัจธรรม พรทวีกุล เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเองและเพื่อนอาจารย์ที่เข้าร่วมเรียนรู้ในโครงการหยั่งรากจิตตปัญญาฯ เมื่อ พ.ศ.2565 ว่า
“ผมเป็นครูที่ดุมาก ผมจบดนตรีตอน ป.ตรี เวลาเล่นดนตรี ผิดโน้ตเดียวก็ไม่ได้ ห้ามผิด ห้ามเพี้ยน แล้วติดนิสัยนี้ไปสอนเด็ก เราเอาความกดดันไปให้เด็ก แทนที่เด็กจะได้เล่นดนตรีด้วยความสุข กลับทำให้ห้องเรียนเครียดมาก ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ ผมฟังและถามความต้องการของเด็กมากขึ้น ลดความต้องการของตัวเองลง บอกตัวเองว่าเด็กทำเต็มที่แล้ว แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน ครูที่ไปเรียนรู้ด้วยกันก็ใจเย็นขึ้น ยิ้มง่าย ให้อภัยและทำงานด้วยกันง่ายขึ้น เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหากครูได้รับการพัฒนาภายในอย่างถูกต้องจะทำให้ครูมีความสุข นักเรียนก็มีความสุข โรงเรียนก็มีความสุข มีเสียงสะท้อนจากครูเยอะมาก ว่าเราให้ความรู้ให้คอนเทนต์แก่ครูเยอะ แต่ลืมกลับมาฟื้นฟูพลังใจของครู ชัดเจนว่ากระบวนการจิตตปัญญาศึกษาช่วยฟื้นฟูตรงนี้ได้ ช่วยให้ค้นพบความสุขจากตัวเราเองและพร้อมที่จะแบ่งปันให้คนอื่นโดยไม่เหน็ดเหนื่อยเลย”
เมื่อเห็นคุณค่าของกระบวนการเรียนรู้ในแนวทางจิตตปัญญาศึกษา จึงได้นำเข้ามาสู่ชั้นเรียนภายใต้ชื่อวิชา “จิตตปัญญาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต” โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ม.ราชภัฏร้อยเอ็ด ทุกคนได้เรียน นอกจากนี้ อาจารย์ไก๋ยังเล่าว่า ม.ราชภัฏ ทั่วประเทศมีภารกิจในการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กและรับผิดชอบโดยคณะครุศาสตร์
“ม.ราชภัฏร้อยเอ็ดมุ่งพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กโดยวางแผนไว้ 4 ปี ปีนี้เป็นปีแรกเป็นเหมือนการเปิดประตูบานแรก ตั้งใจทำ 15 โรงเรียนที่อยู่รอบมหาวิทยาลัยในรัศมี 10 กม. พร้อมกับฝึกอบรมให้ครูเป็นกระบวนกร (ผู้จัดกระบวนการเรียนรู้) แล้วจึงค่อย ๆ ขยายพื้นที่ออกไปพร้อมกับชวนครูมาร่วมขบวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เป้าหมายภายใน 4 ปีนี้คือขยายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ผลลัพธ์ที่อยากได้ที่สุดคือ ครูเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ฟังนักเรียนมากขึ้น ไม่ตัดสินเด็ก แล้วจึงค่อยถามถึงประเด็นที่ครูต้องการต่อยอด หรือการทำงานร่วมกับชุมชน สิ่งที่เห็นชัดเจนในปีนี้คือ ครูเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เริ่มชวนเพื่อนมาเข้าอบรมในครั้งต่อไป”
อาจารย์อุ๊ยเล่าถึงความตั้งใจของศูนย์จิตตปัญญาศึกษาว่า “อยากสร้างโหนดที่มีความเข้มแข็ง ซึ่งตอนนี้ ม.ราชภัฏภูเก็ต เป็นโหนดในภาคใต้ และ ม.ราชภัฏร้อยเอ็ดเป็นโหนดภาคอีสาน โดยมี ม.ราชภัฏเลย
ม.ราชภัฏอุดรธานี และ ม.ราชภัฏสกลนคร เป็นเครือข่ายกัน ในปีนี้จะเคลื่อนไปที่ภาคเหนือและตั้งเป้าว่าจะขยายให้ถึง 10 แห่ง ซึ่งเท่ากับประมาณ 1 ใน 4 ของม.ราชภัฏที่มีทั่วประเทศ”
มีความสุข ณ จุดที่ยืน เปลี่ยนจาก “ระเบิดเวลา” สู่ “หลุมหลบภัย”
อาจารย์อ้อน - ผศ.ดร.วิยดา เหล่มตระกูล เล่าถึงความสำคัญของจิตตปัญญาที่สร้างการเปลี่ยนแปลงภายในตัวครูว่า
“จิตตปัญญาศึกษาเป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ (Experiential Learning) ทำให้ได้กลับมาสังเกตตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเอง และทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างได้ ตัวเองได้เคยเรียนรู้แนวทางนี้เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน และได้เข้าร่วมเรียนรู้อย่างเข้มข้นอีกครั้งในโครงการหยั่งรากจิตตปัญญาฯ ในปี 2567 ซึ่งรู้สึกว่าได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เมื่อก่อนเป็นคนตรงไปตรงมา มักพูดโพล่งออกไปโดยไม่ทันคิดว่าอาจกระทบความรู้สึกของคนอื่น เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่ไม่มีใครควบคุมได้ คนอื่นไม่อยากเข้าใกล้ คือเป็นคนไม่น่ารัก แต่เราไม่รู้ คิดว่าเป็นปัญหาของเขาไม่ใช่ปัญหาของเรา (เรียกเสียงฮาครืนใหญ่) แต่พอเข้าร่วมโครงการนี้ ทำให้เรา ‘ฟัง’ มากขึ้น เปลี่ยนจาก ‘ระเบิดเวลา’ เป็น ‘หลุมหลบภัย’ ที่สร้างความอุ่นใจให้น้อง ๆ ที่ทำงานร่วมกันได้ มีวิธีคิดใหม่ จากเมื่อก่อนที่เกียรติและความสุขของเราอยู่ในมือคนอื่นหรือ KPI แต่ตอนนี้แค่รู้ว่าสิ่งที่ทำมีคุณค่าความหมาย ตอบปณิธานของตัวเราได้ เราเรียนรู้ที่จะมีความสุข ณ จุดที่ยืน” เรียกเสียงเกรียวกราวชุดใหญ่จากคนทั้งห้องอีกครั้ง ขอยกให้ ‘มีความสุข ณ จุดที่ยืน’ จากอาจารย์อ้อนเป็นคำคมตัวท็อปของเวทีนี้เลย”
ในเรื่องการเรียนการสอน อาจารย์อ้อนเล่าว่า ม.ราชภัฏลำปาง นำแนวทางจิตปัญญามาใช้ในวิชาต่างๆ “จิตตปัญญาศึกษาคือ กระบวนการในการจัดการเรียนรู้ ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ของตัวเอง ของคนอื่น หรือในห้องเรียน เมื่อเด็กได้สำรวจตัวเองและสะท้อนสิ่งที่เรียนรู้ ทำให้เขาเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เมื่อก่อนเป็นครูที่มุ่งเนื้อหา พูดคนเดียว 2 ชั่วโมง เด็กไม่ต้องพูด เดี๋ยวได้ความรู้ไม่ครบ (หัวเราะ) แต่ผลสอบเด็กได้ A น้อย ทั้งที่เราตั้งใจสอนมาก จึงเพิ่งเข้าใจว่าการทำแบบนั้นเด็กไม่ได้เรียนรู้อะไร มีแต่เราที่เก่งขึ้นเพราะได้บรรยายซ้ำ ๆ ตอนหลังจึงปรับเพราะได้ความเข้าใจแล้วว่าให้การเรียนรู้เป็นของผู้เรียน พอวิธีคิดเปลี่ยน เด็กก็เปลี่ยน มีความสุขในการมาเรียนกับเรามากขึ้น สามารถกลั่นองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเขาเอง”
สำหรับโครงการที่ม.ราชภัฏลำปาง ทำกับชุมชนท้องถิ่น คือ 1. การพัฒนาเด็กที่ออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู สร้างเสริมจิตวิญญาณความเป็นครู เป็นครูอย่างมีความสุข 2. โครงการจัดการศึกษาเพื่อความ
เสมอภาคทางการศึกษา 3. โครงการขับเคลื่อนโรงเรียนพัฒนาตนเอง
ฟื้นฟูจิตวิญญาณความเป็นครู ฟื้นคืนห้องเรียนแห่งความสุข
เวทีเสวนาวันนี้ทำให้เราเห็นว่า เมล็ดพันธุ์ของจิตตปัญญาศึกษาได้หยั่งรากและเบ่งบานงอกงามทั้งในและนอกรั้วม.ราชภัฏ ทั่วประเทศ และยังคงออกดอกผลไปอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่ขาดไปไม่ได้เลยในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนคือ นโยบายระดับองค์กรที่ผู้บริหารหรืออธิการบดีให้ความสำคัญ เปิดทางให้ดำเนินการ และสนับสนุนงบประมาณ อาจารย์อุ๊ยกล่าวว่า
“สิ่งที่ขาดหายไปจากการศึกษาบ้านเราคือ การพัฒนามิติความเป็นมนุษย์ของผู้เรียนและการดูแล
จิตวิญญาณของครูหรืออาจารย์ เราต้องการเห็นการศึกษาที่นำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ให้ครูทำงานอย่างมีพลังและมีความสุข ปัจจุบันครูเบิร์นเอาต์และส่งผลต่อการทำหน้าที่ครูในชั้นเรียน จุดสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งระดับบุคล องค์กร และชุมชนเริ่มจากตัวครูที่ต้องเปลี่ยนแปลงก่อน”
แล้วอาจารย์อุ๊ยก็ได้เล่าถึงภาพรวมของกระบวนการเรียนรู้ผ่านสไลด์ที่จัดทำโดยอาจารย์หยิก - อ.จรายุทธ สุวรรณชนะ กระบวนกรคนสำคัญของโครงการหยั่งรากจิตตปัญญาฯ ที่ชี้ให้เห็นว่าการสร้างห้องเรียนแห่งความสุขเพื่อการเติบโตจากภายในเริ่มจากการพัฒนา Being ของครู/อาจารย์ ซึ่งประกอบด้วยทักษะภายใน (เช่น สังเกตตัวเองเป็น ตระหนักรู้เท่าทันตัวเอง สะท้อนตัวเอง บอกได้ว่ารู้สึกอะไรหรือเกิดการเรียนรู้อะไรข้างใน สร้างความมั่นคงภายใน จัดการอารมณ์ได้) และทักษะภายนอก (เช่น ฟังด้วยหัวใจ-จับประเด็น-ตั้งคำถาม ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ใช้อำนาจร่วม สร้างการมีส่วนร่วม) เมื่อครูมีทักษะเหล่านี้ติดตัวก็สามารถนำไปสร้างการเปลี่ยนแปลงกับ Change agent หรือสร้างแนวร่วมในการทำงานต่อไปได้ มีแนวคิดเรื่องการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้สร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ เพื่อให้ผู้เรียนรู้กล้ามองย้อนกลับมาข้างใน ยอมรับตัวเองตามความเป็นจริง และกล้าเปิดเผยตัวเอง เมื่อครูได้รับการพัฒนาความเป็นมนุษย์จะมี
แรงบันดาลใจ เกิดความเป็นผู้นำร่วม และกลับไปสร้างการเรียนรู้แบบนี้ให้เกิดขึ้นในองค์กรและชุมชนของตัวเอง
“ห้องเรียนแห่งความสุขเพื่อการเติบโตจากภายใน เกิดในบริบทใดก็ได้ แต่ต้องผ่านตัวอาจารย์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว นี่คือโมเดลการทำงานของเรา หากอาจารย์สนใจ อยากให้การเรียนรู้แนวนี้เกิดขึ้นใน
ราชภัฏของตนก็สามารถแจ้งความจำนงมาได้” อาจารย์อุ๊ยกล่าวทิ้งท้ายระบายยิ้ม
ช่วงท้ายเป็นโอกาสของการแลกเปลี่ยนที่ทำให้คนทั้งห้องเห็นว่า ยังมีราชภัฏอีกหลายแห่งที่อาจารย์และผู้บริหารให้ความสนใจ ทั้งสร้างความฮึกเหิมให้มีกำลังใจและความหวังต่อการศึกษาที่ฟื้นฟูความเป็นมนุษย์ของทั้งผู้เรียน ผู้สอน และสังคม