ดอกไม้เบ่งบานหลังกำแพง: การพัฒนาด้านในกับบทบาทการเป็นผู้ให้คำปรึกษาของผู้ต้องขัง

  • 09 กันยายน 2568

 

เรื่องโดย แสงอรุณ ลิ้มวงศ์ถาวร, อริสา สุมามาลย์

ภาพประกอบโดย จิดาภา ทัศคร

 

     ก่อนก้าวสู่โลกนอกกำแพง การเตรียมความพร้อมให้ผู้ต้องขังสามารถกลับคืนสู่สังคมและดำเนินชีวิตได้ตามปกติหลังพ้นโทษ มีความสำคัญอย่างมาก ข้อมูลจากสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย(องค์การมหาชน) ระบุว่า หนึ่งในปัญหาท้าทายของการคืนสู่สังคมของผู้พ้นโทษ คือทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิต ในระดับนานาชาติ การฟื้นฟูผู้กระทำผิดและการช่วยอดีตนักโทษให้มีชีวิตหลังพ้นโทษอย่างปลอดภัย หลุดจากวงจรการกระทำผิดซ้ำ ได้รับการสนับสนุนโดยกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) และข้อกำหนดขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (United Nations Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners) หรือ ข้อกำหนดแมนเดลา (Mandela Rules) ขณะที่สำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ได้เสนอแนวทางในการนำผู้ต้องขังกลับคืนสู่สังคมเพื่อดำเนินชีวิตได้ตามปกติ (Social Reintegration) และไม่ย้อนกลับมากระทำความผิดอีก ประกอบด้วยการเตรียมความพร้อมของผู้ต้องขังก่อนพ้นโทษ การเตรียมความพร้อมก่อนการปล่อยตัวผู้ต้องขัง และการช่วยเหลือผู้ต้องขังหลังจากพ้นโทษแล้ว

สถาบันการศึกษาที่ไม่แยกขาดจากประเด็นปัญหาของสังคม

     ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ม.มหิดล เป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่มีบทบาทในการเตรียมความพร้อมให้ผู้ต้องขัง ด้วยโครงการ “จากใจสู่ใจ คุณค่า ความสุข และพลังภายในที่แท้จริง เพื่อชีวิตหลังกำแพง” ริเริ่มโดย อาจารย์มัลลิกา ตั้งสงบ หลังจบการศึกษาจากหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาจิตตปัญญาศึกษาและการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง พร้อมกับการศึกษาวิจัยในวิทยานิพนธ์ หัวข้อเรื่อง ประสบการณ์และกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงของเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก (มัลลิกา ตั้งสงบ, 2555) ที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการเริ่มต้นโครงการจากใจสู่ใจฯ พร้อมกับอาจารย์จรายุทธ สุวรรณชนะ ศิษย์เก่าหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาจิตตปัญญาศึกษาและการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง ที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดกระบวนการเรียนรู้ตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษาให้แก่กลุ่มคนที่มีความหลากหลายในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบของสังคม ร่วมกับทีมกระบวนกรและคนทำงานภาคสังคมที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขัง

     โครงการจากใจสู่ใจฯ ได้มีการจัดอบรมเชิงกระบวนการเรียนรู้ตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษา เป็นการดูแลสุขภาวะทางจิตใจและจิตวิญญาณ เพื่อให้ผู้ต้องขังมีความมั่นคงจากภายใน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการคืนคนดีกลับสู่สังคม โดยดำเนินการมายาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน และยังได้จัดอบรมให้เจ้าหน้าที่เรือนจำด้วย เช่น ผู้ควบคุม กำกับดูแลผู้ต้องขัง นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์  ซึ่งนอกจากจะเกิดประโยชน์ในการเข้าใจตนเองและผู้อื่นแล้ว ยังทำให้เจ้าหน้าที่เข้าใจการจัดกระบวนการเรียนรู้ตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษา และเอื้อต่อการทำหน้าที่ดูแลการจัดอบรมของผู้ต้องขังอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

     จากความสำเร็จที่ผู้ต้องขังและอดีตผู้ต้องขังเกิดการเปลี่ยนแปลง เห็นคุณค่าในตนเอง มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่น เข้าใจความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกัน ตระหนักถึงความสุขที่แท้จริงที่เกิดขึ้นจากภายใน สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ปกติ ไม่กลับไปกระทำผิดซ้ำ และสามารถแบ่งปันการเรียนรู้ของตนเองในการสร้างประโยชน์เพื่อผู้อื่นในสังคมได้ เป็นการผลิดอกออกผลของโครงการใจสู่ใจฯ ที่ดำเนินการมาต่อเนื่องจนถึง
โปรเจกต์ล่าสุดที่เรือนจำกลางขอนแก่น ในการพัฒนาหลักสูตรการให้คำปรึกษาเพื่อฟื้นฟูอำนาจภายในสำหรับผู้ต้องขัง ตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษา โดยมี อาจารย์ตี่ - ดร.ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม เป็นหัวหน้าโครงการ ร่วมกับทีมกระบวนกรหลักอาจารย์มัลลิกา ตั้งสงบ อาจารย์จรายุทธ สุวรรณชนะ และคุณปิยะพร เรืองฤทธิ์ ทำให้อาจารย์ประจำศูนย์จิตตปัญญาศึกษา 3 ท่าน คือ อาจารย์ตี่ - ดร.ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม, อาจารย์โอ๋ - เดโช นิธิกิตตน์ขจร และ อาจารย์เหมียว - ดร.อริสา สุมามาลย์ เห็นประโยชน์ จึงต้องการถอดคุณค่าที่เกิดขึ้นและพัฒนาเป็นองค์ความรู้ที่สามารถส่งต่อหรือขยายผลไปยังเรือนจำหรือพื้นที่อื่น ๆ ได้ จึงเป็นที่มาของงานวิจัย “การศึกษากระบวนการและวิธีการพัฒนาผู้ต้องขังให้มีศักยภาพในการให้คำปรึกษาเพื่อฟื้นฟูอำนาจภายในผ่านกระบวนการเรียนรู้ตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษา”

     อาจารย์ตี่ หัวหน้าโครงการเล่าว่า “ผมเข้ามาดูแลโครงการนี้หลัง พ.ศ. 2565 และพบว่ากระบวนการจิตตปัญญาสามารถช่วยให้คนพัฒนาตัวเองได้ ผมเห็นผู้ต้องขังที่เกิดการเปลี่ยนแปลงและกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ รู้สึกว่าเป็นงานที่มีคุณค่า ปีนี้เราทำภายใต้ชื่อ ‘โครงการนวัตกรรมทางสังคม (Social Innovation) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายความครอบคลุมทางสังคม (Social Inclusiveness)’ พร้อมกับการสร้างหลักสูตรใหม่คือ ‘หลักสูตรการให้คำปรึกษาเพื่อฟื้นฟูอำนาจภายในสำหรับผู้ต้องขัง ตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษา’ ซึ่งอาศัยการถอดองค์ความรู้ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีในการจัดกระบวนการเรียนรู้ของอาจารย์จรายุทธ สุวรรณชนะ มาออกแบบเป็นหลักสูตรใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำ และเป็นครั้งแรกที่มีการนำกระบวนการเข้าไปทำในเรือนจำเป็นเวลา 10 วัน ซึ่งนานพอที่จะทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักได้ค่อย ๆ ทำความเข้าใจว่าจิตตปัญญาคืออะไร ช่วง 3 วันแรกยังงง ผ่านวันที่ 5 ต้องหยุดเสาร์อาทิตย์ซึ่งถือเป็นช่วงของการตกผลึก แล้วกลับมาเจอกันอีก 5 วันที่เหลือ ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ใน 10 วันแรกเลย เป็นมิติใหม่ของการทำงานกับผู้ต้องขัง”

     อาจารย์เหมียวเล่าถึงหัวใจของงานวิจัยนี้ว่า “ผู้ต้องขังมีความหวังว่าเมื่อพ้นโทษออกมาแล้วจะสามารถยืนหยัดใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจใหม่ มีความมั่นใจที่จะเผชิญชีวิตได้ งานวิจัยนี้จึงเป็นการสรุปกระบวนการที่ทำให้บรรลุผลนั้น ทั้งวัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย หลักหรือแนวคิดในการออกแบบกระบวนการ คุณสมบัติและทักษะของกระบวนกร (ผู้จัดกระบวนการ) ระยะเวลาที่ใช้ แนวทางการติดตามผล ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ต้องขัง ทั้งหมดนี้จะถูกรวบรวมเป็นองค์ความรู้ เป็นโมเดลที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ที่อื่นได้”

 

เลือกทางเดินและกลับมาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองด้วย ‘อำนาจภายใน’

          แนวคิดสำคัญของหลักสูตรการให้คำปรึกษาเพื่อฟื้นฟูอำนาจภายใน (Power within) สำหรับผู้ต้องขังตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษา อยู่บนพื้นฐานของกรอบวิเคราะห์เรื่องอำนาจในการทำความเข้าใจตนเองและสังคม การพัฒนาจิตวิญญาณและการตระหนักรู้ กรอบวิเคราะห์เรื่องอำนาจทำให้ผู้ต้องขังได้ทบทวนชีวิต เข้าใจถึงที่มาที่ไปและสาเหตุว่าอะไรทำให้เขาเข้ามาอยู่ในเรือนจำ เห็นกรอบความคิด ความเชื่อ และโครงสร้างทางสังคมที่หล่อหลอมให้เขาเผชิญกับความทุกข์ยาก อีกทั้งยังเป็นต้นทุนสำคัญให้ผู้ต้องขังเตรียมความพร้อมออกไปเผชิญชีวิตภายนอกได้อย่างมั่นคงในอนาคต

    อาจารย์ตี่ขยายความให้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องอำนาจที่มีต่อผู้ต้องขังว่า “การเข้าใจเรื่องอำนาจ แหล่งที่มาอำนาจ หรือโครงสร้างสังคมที่ผลักให้เขามาอยู่ตรงนี้ มีความหมายกับชีวิตเขามากและทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ‘อำนาจภายใน’ ทำให้เขามีความมั่นคงมากพอที่จะเลือกทางเดินชีวิตของเขาเอง ตัวอย่างเช่นในส่วนของอำนาจภายนอก หลายคนไม่มีการศึกษา แต่เมื่อเข้าใจเรื่องอำนาจ เขาจะรู้ว่าแหล่งอำนาจในเรื่องของความรู้ สามารถหาได้ในเรือนจำตั้งแต่ตอนนี้เลย ฝึกเรียนรู้ทักษะอาชีพในเรือนจำเพื่อออกไปประกอบอาชีพในอนาคต  และในส่วนของอำนาจภายใน จากที่เคยเป็นคนเกเร เพื่อนชวนไปขายยา เมื่อเขาเข้าใจตัวเองและมีอำนาจภายในมากพอ เขาก็กล้าที่จะยืนหยัดปฏิเสธเวลามีใครมาชวนทำเรื่องไม่ถูกต้อง เขาจะสามารถอาศัยอำนาจภายในตรงนี้กลับไปใช้ชีวิตต่อได้ ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ”

อาจารย์โอ๋เล่าถึงประเด็นสำคัญที่พบจากการทบทวนวรรณกรรมในการทำวิจัยชิ้นนี้ว่า

     “หลายที่มีความพยายามในการเตรียมความพร้อมให้ผู้ต้องขังก่อนปล่อยตัว รวมถึงความต้องการฟื้นฟูอำนาจภายในให้ผู้ต้องขังด้วย สิ่งที่แตกต่างคือ หลายที่ในต่างประเทศเน้นการให้องค์ความรู้หรือทักษะ เพื่อให้ผู้ต้องขังมีความมั่นใจในศักยภาพของตัวเองในการออกไปทำงานหรือใช้ชีวิต แต่งานวิจัยนี้เราไม่ได้ให้ทักษะหรือองค์ความรู้เพียงอย่างเดียว แต่เน้นไปที่ให้เขาได้กลับมาเสริมสร้างเรื่องการตระหนักรู้ เท่าทันความคิด เสียงข้างใน หรืออารมณ์ความรู้สึก อันนี้เป็นจุดต่างที่สำคัญ เพราะเรื่องอำนาจภายใน อีกความหมายหนึ่งคือการที่ตัวเขาเอง กลับมาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ซึ่งเป็นความหมายที่ปรากฏขึ้นค่อนข้างชัดเจน เพราะการเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง เดินทางชีวิตในเส้นทางที่ตัวเองเลือกได้อย่างมั่นใจ เป็นจุดสำคัญของเรื่องอำนาจภายใน และเป็นสิ่งที่โครงการทำตรงนี้ให้ผู้ต้องขัง”

     อาจารย์ตี่ให้ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นจริงเมื่อผู้ต้องขังเข้าใจเรื่องอำนาจภายในว่า “มีผู้ต้องขังที่เติบโตมากับความเชื่อที่ว่าผู้ชายต้องต่อยตี เพราะแสดงถึงความเข้มแข็ง เมื่อเขาเจอเพื่อน เจอคนมองหน้า ทันทีที่เขาสบตากับคนนั้นเขาคิดได้คำเดียวว่าเขาจะต่อยเพราะมันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ ‘มองหน้าต้องโดนต่อย’ แต่เมื่อเขาผ่านการฝึกอบรมมาแล้ว ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่านี่คือความโกรธ มีอะไรที่หล่อหลอมเขามาและเขาไม่จำเป็นต้องทำตามสิ่งนั้น เขาก็หยุดยั้งการทำร้ายหรือทำความรุนแรงได้ ในเรือนจำ ผู้ต้องขังที่เข้าอบรมแล้วสามารถเข้าไปยุติความขัดแย้งหรือรุนแรงได้ ‘ครูสอนว่าต้องมีสติ อยู่กับความโกรธ’ จากเดิมที่คิดว่าเป็นลูกผู้ชายต้องสู้หรือต่อยตี เขาก็เกิดความเข้าใจในสิ่งที่สังคมหล่อหลอมเขาขึ้นมาและเข้าใจตัวเอง หยุดยั้งการกระทำของตนเองได้”

 

นวัตกรรม ‘การ์ดอำนาจภายใน’

          “การ์ดต้นกล้าใจสู่ใจ” เป็นนวัตกรรมทางสังคมในรูปแบบการ์ดคำอำนาจภายใน เพื่อให้การสะท้อนอำนาจภายในเป็นไปได้อย่างสะดวก เป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการ์ดประกอบด้วยคำที่บ่งบอกถึงอำนาจภายในและภาพวาดที่สะท้อนถึงคำนั้นๆ

            อาจารย์ตี่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำที่แสดงถึงอำนาจภายในว่า “ส่วนใหญ่ได้มาจากการเรียนเรื่องอำนาจกับ อ.อวยพร เขื่อนแก้ว แล้วผมกับทีมกระบวนกรช่วยกันคัดเลือก เป็นคำง่าย ๆ ที่สามารถสะท้อนอำนาจภายในตัวเองได้ เช่น ความเมตตา ความรัก ความเบิกบาน ซื่อสัตย์ อดทน อีกกลุ่มเป็นคำที่ค่อนข้างฮาร์ดคอร์ เช่น ไม่สยบยอม ไม่ยอมแพ้ ซึ่งเป็นคำที่จำเป็นต้องมีในการทำงานกับเรื่องอำนาจภายในของผู้ต้องขัง เมื่อได้คำจำนวนหนึ่งก็นำไปทดลองใช้กับกลุ่มผู้ต้องขัง และเหลือไว้เพียงคำที่เหมาะสมประมาณ 50-60 คำ ในกล่องการ์ด แล้วให้พวกเขาวาดคำเหล่านี้ออกมาเป็นภาพ สุดท้ายเมื่อการ์ดเสร็จสมบูรณ์แล้วเอาไปให้ดู เขาก็รู้สึกภูมิใจที่การ์ดเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นในสังคมด้วย”

 

ผู้ต้องขังกับบทบาทการเป็นผู้ให้คำปรึกษา

            เรือนจำกลางขอนแก่นมี “ศูนย์เพื่อนใจ” ซึ่งทำหน้าที่ดูแลสุขภาพทางใจของผู้ต้องขัง การเสริมทักษะการให้คำปรึกษาเพื่อฟื้นฟูอำนาจภายในสำหรับผู้ต้องขัง จึงสามารถช่วยเสริมการทำงานของเจ้าหน้าที่และการดูแลผู้ต้องขังด้วยกันเองภายในเรือนจำได้

            “โดยปกติแล้ว การให้คำปรึกษาในเรือนจำจะมองผู้ต้องขังเป็นผู้รับบริการ แต่งานนี้มองว่าเขาสามารถเป็นผู้ให้คำปรึกษากับเพื่อนๆในเรือนจำด้วยกันได้ เป็นการดูแลแบบเพื่อนกับเพื่อน แล้วยังทำให้ภาระงานของเจ้าหน้าที่เบาลงได้ โดยจุดสำคัญคือ เป็นการพัฒนาทักษะว่าทำอย่างไรให้ผู้ต้องขังสามารถรับฟังและอยู่กับคนตรงหน้าได้อย่างเต็มที่ ไม่ได้เป็นการพัฒนาทักษะแบบวิชาชีพการเป็นผู้ให้คำปรึกษา แต่เป็นเชิงทักษะภายใน” อาจารย์เหมียวกล่าว

            “เราให้การบ้านไปว่าให้จับกลุ่มโดยมีแกนนำ 1 คน มีเพื่อนในกลุ่มอีก 4 คน รวมเป็นกลุ่มละ 5 คน ซึ่ง 5 คนนี้เป็นกลุ่มให้คำปรึกษา ทำงานในเรือนจำ แล้วเกิดการขยายวงออกไปเรื่อย ๆ” อาจารย์ตี่กล่าวเสริม

            กระบวนการเรียนรู้นี้ทำให้ผู้ต้องขังได้ฝึกทักษะการให้คำปรึกษาเพื่อฟื้นฟูอำนาจภายใน ได้ทบทวนและแบ่งปันความรู้สึกและเรื่องราวของตนเอง ตลอดจนได้รับฟังและเรียนรู้จากเรื่องราวของเพื่อน โดยผู้ต้องขังได้นำทักษะที่ได้เรียนรู้มาปรับใช้ในการให้คำปรึกษาเพื่อน ทั้งการฟัง การตั้งคำถาม การจับประเด็น ความเข้าใจกรอบวิเคราะห์เรื่องอำนาจ และความเข้าใจตนเองและผู้อื่น

 

จิตตปัญญาศึกษากับการพัฒนาศักยภาพความเป็นมนุษย์

          แนวทางจิตตปัญญาเชื่อว่ามนุษย์เรียนรู้และเปลี่ยนแปลงได้ มนุษย์ทุกคนมีความดีงามจากภายใน กระบวนการเรียนรู้เป็นเหมือนการรดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์ความดีที่อยู่ในตัวมนุษย์ งานวิจัยชิ้นนี้ทำให้เราเห็นว่า แม้เมล็ดพันธุ์นั้นจะอยู่ในพื้นที่ที่มีความยาก เช่น การเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำ ก็สามารถเติบโตงอกงามได้ หากได้รับ “การพัฒนาศักยภาพความเป็นมนุษย์” และ “การฟื้นฟูอำนาจภายใน” รวมทั้งยังสามารถนำทักษะเหล่านั้นไปดูแลผู้อื่น ทำให้ได้ประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย

             “เส้นทางของการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นสิ่งที่มีค่า ผมอยากให้สิ่งนี้ปรากฏออกไปสู่สังคมในวงกว้าง งานจิตตปัญญาศึกษาไปได้ไกลกว่าการอยู่ในชั้นเรียน งานวิจัยที่เกี่ยวกับจิตตปัญญา 80-90%  อยู่แค่ในสถาบันการศึกษาหรือนำไปใช้พัฒนาครูอาจารย์ ยังมีจำนวนน้อยมากที่จะไปถึงจุดอื่น การทำวิจัยตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นฐานของการขยายออกของความเข้าใจในเรื่องของจิตตปัญญาสู่สังคม” อาจารย์โอ๋กล่าว

อาจารย์ตี่สรุปสั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า “ทำวิจัยงานนี้เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ ไม่ใช่แค่ไปทำกระบวนการแล้วจบ ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ”

            อาจารย์เหมียวส่งท้ายด้วยการเปิดใจว่า “การที่มาเป็นอาจารย์จิตตปัญญา เลือกทำงานในฐานะนักวิชาการ เพราะเป็นบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดองค์ความรู้ในการทำงานกับกลุ่มคนชายขอบหรือกลุ่มคนที่ทำงานกับประชาชนและสังคมได้ สามารถยกระดับงานให้มีคนเอาไปใช้ต่อได้ มีคนมาศึกษาเรียนรู้ได้ และอยากให้จิตตปัญญาเข้าไปอีกหลายแวดวงในสังคมที่เผชิญความยากลำบาก ขยายงานออกไปให้เป็นศูนย์จิตตปัญญาศึกษาที่อยู่เพื่อสังคม ไม่ลอยตัวออกจากสังคม”

เสียงสะท้อนจากอาจารย์ทั้งสาม ทำให้เราไม่หมดหวังที่จะฝันถึงสังคมที่เชื่อในความดีงามของมนุษย์และโอบรับทุกคนอย่างไม่แบ่งแยก ไม่มีสิ่งใดกีดขวางหัวใจความเป็นมนุษย์ได้ แม้กระทั่งโซ่ตรวนหรือเรือนจำ

 

รายการอ้างอิง

มัลลิกา ตั้งสงบ. (2555). ประสบการณ์และกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงของเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

Back To Top