แสงสว่างจากความมืด คุณรัณนภันต์ ยั่งยืนพูนชัย (พี่แพท-วงเคลียร์)

  • 07 พฤศจิกายน 2567

 
     การสูญเสียคนที่เรารักอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะคนในครอบครัว เป็นบาดแผลลึกที่ต้องการการเยียวยาอย่างค่อยเป็นค่อยไป คุณรัณนภันต์ หรือพี่แพท วง Klear ได้แบ่งปันประสบการณ์การสูญเสียคุณพ่อและการเดินทางผ่านห้วงเวลาแห่งความเศร้าโศก เรื่องราวของเธอไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของจิตใจมนุษย์ แต่ยังแสดงให้เห็นว่าแม้ในยามมืดมิดที่สุด แสงสว่างก็ยังคงมีอยู่เสมอ

     "การสูญเสียคนรักที่เรารักกะทันหันที่เป็นคนในครอบครัว มันเป็นการฮีลในระดับลึกมาก ๆ เลยค่ะ แล้วมันมีหลายสเตจของการฮีลสิ่งนี้"
ในช่วงแรกของการสูญเสีย สิ่งที่ช่วยให้เธอผ่านพ้นมาได้ประการแรกคือคนรอบข้างที่ยังอยู่เคียงข้าง ทั้งคุณแม่และเพื่อน ๆ ที่ยังคงอยู่กับเธอแม้ในยามที่เธอไม่น่ารัก โกรธง่าย และมีอารมณ์ขึ้นลง พวกเขาคือแสงสว่างที่ช่วยนำทางเธอในยามที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความมืดมิด

     "ถ้าแพทไม่มีวงเคลียร์ แพทไม่ได้เขียนเพลงที่มันระบายอะไรบางอย่างออกไป หรือไม่ขึ้นเวที เราไม่รู้เลยว่าเราจะไปไหน ไม่รู้เลยว่าเราจะพาใจตัวเองไหลลงไปจนถึงตรงไหนได้"
ประการที่สองคือดนตรีและวง Klear ที่กลายเป็นพื้นที่ปลดปล่อยอารมณ์ด้านลบออกมาในรูปแบบที่สร้างสรรค์ ผ่านการเขียนเพลงและการแสดงดนตรี การได้ขึ้นเวทีและเล่นดนตรีที่มีสไตล์ค่อนข้างหนักในช่วงนั้น กลายเป็นวิธีระบายพลังงานด้านลบออกไปในทางที่เหมาะสม หากไม่มีดนตรี เธออาจจะไม่รู้ว่าจะพาตัวเองไปในทิศทางใด

     ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณแม่ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากหลังการจากไปของคุณพ่อ จากที่เคยสนิทสนมกันราวกับเพื่อนสนิท กลับกลายเป็นระยะห่างเพราะต่างฝ่ายต่างเปราะบางเกินกว่าจะรับมือกับความรู้สึกของกันและกันได้ คุณพ่อของเธอป่วยเป็นมะเร็งมานานถึง 7 ปีโดยไม่บอกใคร นอกจากคุณหมอที่เป็นญาติเพียงคนเดียว การจากไปของท่านจึงเป็นเหมือนแก้วที่แตกกระจายทันที ทำให้ทุกคนในครอบครัวต้องใช้เวลาในการประคองตัวเองและเยียวยากัน
พี่แพทเล่าว่า การที่เธอและคุณแม่ห่างกันไปในช่วงนั้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติ มันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยา ที่ต้องยอมรับว่าบางครั้งเราอ่อนแอเกินกว่าจะทำอะไรบางอย่าง และนั่นก็ไม่เป็นไร การให้เวลาและพื้นที่แก่กันและกันกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งคู่ผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาได้

     "ใครก็ตามที่ทำให้รู้สึกว่าเรารักตัวเองน้อยลง ทำให้คุณค่าตัวเองตกลง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือเป็นแฟนก็ตาม แพทว่าอันนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บไว้"
พี่แพทยังได้แบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ จากความสัมพันธ์ในอดีตที่ทำให้เธอค่อย ๆ สูญเสียตัวตน ทั้งการถูกควบคุมการแต่งกาย การห้ามทำในสิ่งที่ชอบ และการทะเลาะกันทุกครั้งที่เธอออกไปเล่นดนตรี จนกระทั่งคืนหนึ่งที่เธอนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านแฟนในยามดึก ภาพของคุณแม่ผุดขึ้นในความคิด ทำให้เธอตระหนักว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณแม่เลี้ยงดูเธอมาเพื่อเป็นภาพที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น ซึ่งพี่แพทได้ให้ข้อคิดว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความสัมพันธ์แบบคู่รัก แต่อาจเป็นได้ทั้งเพื่อน ครอบครัว หรือแม้แต่รุ่นพี่รุ่นน้อง สัญญาณเตือนที่สำคัญคือ เมื่อใดก็ตามที่เราอยู่กับใครแล้วรู้สึกว่าตัวเองเล็กลง คุณค่าในตัวเองลดลง หรือต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ นั่นคือสัญญาณว่าความสัมพันธ์นั้นอาจเป็นพิษต่อเรา

    "รถที่มันไม่มีน้ำมัน มันวิ่งไม่ได้ แล้วเราลืมว่าเราต้องเติมน้ำมัน"
การจัดการกับความเครียดและการรักษาสมดุลในชีวิตเป็นอีกประเด็นสำคัญที่พี่แพทได้พูดถึง เปรียบเหมือนรถที่ต้องการน้ำมัน การหยุดพักเพื่อเติมพลังให้ตัวเองเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อเรารู้สึกว่ากำลังฝืนตัวเองมากเกินไป การหยุดพักไม่ใช่การเสียเวลา แต่เป็นการลงทุนที่จะทำให้เรากลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ซึ่งวิธีเติมพลังของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป อาจเป็นการออกไปเดินดูท้องฟ้า เดินดูต้นไม้ นั่งร้านกาแฟ หรือดูหนังสักครึ่งชั่วโมง สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักฟังเสียงภายในที่บอกว่าเมื่อไหร่ที่เราต้องการการพัก เพราะเมื่อเราดูแลตัวเองไม่ดี มันจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วย

     "ถ้าคุณรู้สึกว่ามันมืดเหลือเกิน ลองสแกนมองอีกรอบ คุณอาจจะเป็นแหล่งกำเนิดแสงอยู่ก็ได้"
ในท้ายที่สุด พี่แพททิ้งข้อคิดที่น่าสนใจไว้ว่า ความมืดในชีวิตสามารถเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ทุกอารมณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนมีประโยชน์ต่อการเติบโต เพียงแต่เราต้องหาวิธีที่เหมาะสมในการจัดการกับมัน
บางครั้งเมื่อรู้สึกว่าโลกมืดมิด อาจเป็นเพราะเราเองกำลังเป็นแสงสว่างให้กับผู้อื่นอยู่ก็ได้ เหมือนดั่งทะเลไฟในคอนเสิร์ตที่แต่ละดวงต่างส่องสว่างและลุกลามไปถึงกัน สร้างความงดงามท่ามกลางความมืด ซึ่งพี่แพทเชื่อว่าไฟแต่ละดวงสามารถจุดต่อกันได้ เมื่อเราเห็นเพื่อนสว่าง เราก็สว่าง และคนข้าง ๆ ก็สว่างตามไปด้วย โดยที่การเดินทางของพี่แพทจาก จุดที่มืดมิดที่สุดในชีวิตจนถึงวันนี้ เป็นบทพิสูจน์ว่าแม้ในยามที่มืดมิดที่สุด แสงสว่างก็ยังคงมีอยู่เสมอ เพียงแต่บางครั้งเราอาจต้องเป็นผู้จุดแสงสว่างนั้นขึ้นมาเอง

 

Back To Top