จากประสบการณ์สู่การเยียวยา มุมมองการดูแลจิตใจผ่านการรับฟังอย่างเข้าใจของพี่อุ๋ย – บุดดาเบลส จากจุดเริ่มต้นของการสนใจเรื่องภายในจิตใจเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนช่วงชีวิตในวงการบันเทิง ด้วยประสบการณ์ความทุกข์ในวัยหนุ่มที่ต้องเผชิญกับการล้มละลายของครอบครัวและเหตุการณ์ไฟไหม้บ้าน ทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับความหมายของชีวิต นำไปสู่การแสวงหาคำตอบผ่านการปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุ 22-23 ปี
ความสนใจในศาสตร์ด้านจิตวิทยาเกิดขึ้นเพราะมองเห็นว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่าย ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและวิธีการที่เป็นรูปธรรม
"ธรรมะเวลาพระท่านเทศน์ท่านสอน ถ้าอยากจะรู้อยากจะแก้ได้ เจ้าตัวก็ต้องไปปฏิบัติ แต่มันมีอีกศาสตร์หนึ่งอย่างจิตบำบัด มันก็เป็นการตั้งคำถามชวนคิด ออกแบบกิจกรรมให้การบ้านกับไคลเอนท์หรือผู้มารับการบำบัด"
การผสมผสานระหว่างหลักธรรมและจิตวิทยาทำให้เห็นว่าทั้งสองศาสตร์นี้สามารถเชื่อมโยงและเกื้อหนุนกันได้ นำไปสู่การศึกษาเพิ่มเติมและการเป็นจิตอาสาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
ในการรับฟังผู้อื่น สิ่งสำคัญคือการรู้จักสังเกตและฟังใจตัวเองไปพร้อมกัน การมีอารมณ์ร่วมไปกับผู้พูดไม่ใช่เรื่องผิด แต่กลับเป็นสิ่งที่ช่วยให้เข้าใจความทุกข์ของเขาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
"บอกว่าไม่มีอารมณ์ร่วมเลยเนี่ย ผมว่ามันไม่ดี ผมว่ามันดีด้วยซ้ำถ้าคุณรู้สึกไปกับเขาด้วย เพราะมันเป็นการร่วมทำความเข้าใจความทุกข์ไปกับเขา"
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการรู้จักปล่อยวางเมื่อจบการสนทนา ต้องเข้าใจว่าแม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้ เราจึงต้องยอมรับข้อจำกัดและศักยภาพของแต่ละคน
การฟังที่ดีไม่ได้ใช้แค่หู แต่รวมถึงภาษากายที่แสดงถึงการใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นการพยักหน้า การส่งเสียงตอบรับ หรือการสรุปความเพื่อยืนยันความเข้าใจ สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้พูดว่ากำลังได้รับการรับฟังอย่างแท้จริง
สำหรับผู้ที่ลังเลที่จะเล่าความทุกข์ของตนให้ผู้อื่นฟง การเปลี่ยนมุมมองอาจช่วยได้
"คุณอย่าเพิ่งอนุมานไปเองว่าการที่คุณเอาความทุกข์ไปเล่าให้คนอื่นฟังแล้วคนอื่นเขาจะต้องทุกข์ทนตามคุณไปด้วย มันมีอีกมุมหนึ่งคือคุณกลายเป็นผู้ให้โอกาสเขาได้เป็นผู้รับฟังที่ดี"
การสร้างสังคมแห่งการรับฟังไม่ควรจำกัดอยู่แค่การพึ่งพาจิตอาสาหรือโครงการต่าง ๆ เท่านั้น แต่ควรเริ่มจากคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนฝูง การให้โอกาสคนรอบข้างได้เป็นผู้รับฟังจะช่วยสร้างการเติบโตร่วมกันของทั้งสังคม และทำให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว การแบ่งปันความทุกข์จึงไม่ใช่การสร้างภาระ แต่เป็นการให้โอกาสผู้อื่นได้พัฒนาทักษะการรับฟังและเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น