มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เจ้าภาพจัด “มหกรรมจิตตปัญญาศึกษา ครั้งที่ 4”
รวมพลังเครือข่ายราชภัฏทั่วประเทศ ขับเคลื่อนการศึกษาเพื่อสังคมสุขภาวะ
เมื่อวันที่ 6-7 พฤศจิกายน 2568 มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ร่วมกับ ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคอีสาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย และเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคใต้ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงาน จัดงาน “มหกรรมจิตตปัญญาศึกษา ครั้งที่ 4” ณ ห้องประชุมเอื้องหลวง คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก ดร.กิตติศักดิ์ สมุทธารักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย อาจารย์ ดร.จิรัฐกาล พงศ์ภคเธียร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายขับเคลื่อนจิตตปัญญาศึกษา ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ซึ่งมุ่งสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่ายราชภัฏทั่วประเทศ และส่งเสริมแนวคิด “การเรียนรู้จากภายใน” ให้เป็นพลังขับเคลื่อนหลักของการศึกษาไทย เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เติบโตอย่างสมบูรณ์ทั้งกาย ใจ และปัญญา
ภายในงานมีการบรรยายพิเศษโดย รองศาสตราจารย์นายแพทย์ชัชวาลย์ ศิลปกิจ ผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ในหัวข้อ “จิตตปัญญาศึกษา: ศิลปะการดำรงอยู่เพื่อเผชิญกับวิกฤตทางสังคมและสิ่งแวดล้อม” ซึ่งชี้ให้เห็นบทบาทของการเรียนรู้เชิงจิตตปัญญาในการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจและสังคมท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกยุคปัจจุบัน
ต่อเนื่องด้วย เวทีเสวนา “การขับเคลื่อนการศึกษาเพื่อก้าวข้ามวิกฤต” โดยผู้แทนเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏจาก 4 ภูมิภาค ได้แก่
ดำเนินรายการโดย อาจารย์ ดร. จิรัฐกาล พงศ์ภคเธียร ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
นอกจากนี้ยังมีกระบวนการเรียนรู้ห้องย่อยใน 3 หัวข้อ ได้แก่ “การขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางวิกฤตทางการศึกษา”, “ห้องเรียนแห่งความสุข ปลุกพลังการเรียนรู้”, “Gen Z สมองใส ใช้ชีวิตอย่างมีทิศทาง” พร้อมกิจกรรมสานสัมพันธ์เครือข่าย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และยกระดับการเรียนรู้เชิงจิตตปัญญาในระดับเครือข่าย ดร.กิตติศักดิ์ สมุทธารักษ์ กล่าวย้ำว่า การจัดมหกรรมครั้งนี้เป็นการสะท้อนพลังของเครือข่ายราชภัฏที่มุ่งมั่นขับเคลื่อน “การศึกษาเพื่อชีวิต” โดยเน้นการเรียนรู้ด้วยหัวใจ เพื่อสร้างคนที่มีทั้งปัญญา ความเข้าใจ และความกรุณา ซึ่งจะนำไปสู่สังคมสุขภาวะอย่างยั่งยืน งานมหกรรมจิตตปัญญาศึกษา ครั้งที่ 4 จึงถือเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ที่รวมพลังผู้บริหาร คณาจารย์ นักศึกษา และภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ ร่วมกันสร้างแรงบันดาลใจและสานต่อการพัฒนาการศึกษาที่เน้น “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” เพื่อปลูกหัวใจแห่งการเรียนรู้ให้เบ่งบานในทุกภูมิภาคของไทย
การบรรยายพิเศษโดย รองศาสตราจารย์นายแพทย์ชัชวาลย์ ศิลปกิจ
ผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
หัวข้อ: “จิตตปัญญาศึกษา: ศิลปะการดำรงอยู่เพื่อเผชิญกับวิกฤตทางสังคมและสิ่งแวดล้อม”
1. วิกฤตภายในและกับดักความคิด
ระบบการศึกษาและสังคมร่วมกันสร้าง “กับดักทางความคิด” ที่เน้นเหตุผลและผลสัมฤทธิ์มากเกินไป จนละเลยความรู้สึกส่วนตัวและคุณค่าภายใน ส่งผลให้หลายคนต้องฝืนตนเองตามค่านิยมที่ไม่สอดคล้องกับตัวตน เช่น การยกย่องเด็กสายวิทย์หรือผู้ที่เก่งคณิตศาสตร์เป็นพิเศษ
การเปรียบเทียบตนเองกับผลงานและการยึดติดกับภาพลักษณ์ภายนอก ทำให้เกิดความอึดอัดภายในใจ และนำไปสู่วิกฤตทางจิตวิญญาณ เช่น กรณีนักศึกษาที่ฆ่าตัวตาย ทั้งที่มนุษย์มีศักยภาพสูงในการเผชิญวิกฤต หากไม่ถูกบั่นทอนด้วย “กับดักความคิด” ที่หลอกว่าเราต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
“ค่าของคน ไม่ได้อยู่ที่ผลของงาน”
2. การสังเกตและเท่าทันตนเอง
หัวใจของจิตตปัญญาศึกษาคือ “การสังเกตตัวเองอย่างตรงไปตรงมา” ไม่ใช่ด้วยเหตุผล แต่ด้วยความรู้สึก การใส่ใจ และการวางใจ
สิ่งเร้าทางใจ—เช่น ความคิดและความรู้สึก—มักถูกมองข้าม ทั้งที่เป็นช่องทางสำคัญในการเรียนรู้ตนเอง เรามักเข้าใจผิดว่าควรควบคุมทุกอย่าง ทั้งที่ความคิดและอารมณ์เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
“ความคิด ความรู้สึก โผล่ขึ้นมาเอง เราควบคุมไม่ได้”
3. กลยุทธ์การดำรงอยู่: ไม่ตอบสนอง
เมื่อรู้ว่าไม่สามารถควบคุมสิ่งเร้าทางใจได้ เป้าหมายจึงเปลี่ยนเป็น “การไม่ตอบสนอง” ต่อสิ่งที่มากระทบ เช่น ความเบื่อ ความไม่พอใจ โดยปล่อยให้มันผ่านไป และมุ่งทำในสิ่งที่ควรทำ
การฝึก “หยุด” ปฏิกิริยาอัตโนมัติ เป็นการพัฒนา self-regulation และ emotional regulation ที่นำไปสู่ความมั่นคงภายใน
“ความฉลาด คือ ความเข้าใจชีวิต และการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น”
4. ผลลัพธ์: ความมั่นคงภายในและนิเวศการเรียนรู้
เมื่อฝึกฝนจนเกิดความมั่นคงภายในอย่างอัตโนมัติ จะเกิดความยืดหยุ่นทางจิตใจ ความรู้สึกอิ่มภายใน และการยอมรับตนเองอย่างไม่มีเงื่อนไข เสียงที่เคยกดทับจะเบาลง
การเปลี่ยนแปลงภายในนี้ส่งผลต่อบรรยากาศภายนอก เช่น ห้องเรียนที่งอกงาม เพราะระบบนิเวศภายในใจเปลี่ยนไป
“เราเป็นท้องฟ้าที่แจ่มใสอยู่เสมอ ส่วนความเศร้าเป็นเพียงเมฆที่ลอยมา”
สรุป : 3 วิธีฝึกใจเพื่อเผชิญวิกฤต
“การดูแลใจเป็นทักษะที่ฝึกได้ และจะเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ”