เรื่องโดย แสงอรุณ ลิ้มวงศ์ถาวรร
ภาพประกอบโดย จิดาภา ทัศคร
“จิตตปัญญาศึกษากับผู้เรียนอาชีวะในฝัน” เป็นชื่อเวทีเสวนาหยั่งรากจิตตปัญญาศึกษาครั้งล่าสุดที่ จัดขึ้นทางออนไลน์และมีการถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊กศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ม.มหิดล เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
อาจารย์เหมียว - อ.ดร.อริสา สุมามาลย์ ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ม.มหิดล เปิดวงว่างานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริการวิชาการ “หยั่งรากจิตตปัญญา สู่สังคมสุขภาวะ” ที่ได้พัฒนาบุคลากรทางการศึกษากลุ่มต่าง ๆ ด้วยแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา ครั้งนี้เป็นเรื่องราวของครูอาชีวศึกษาที่เคยเข้าร่วมโครงการสอนนอกกรอบ: ครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงจากภายใน โดยอาจารย์หยี-อ.ดร.ศักดิ์ชัย อนันต์ตรีชัย และอาจารย์ตุ๊กตา-รัชนี วิศิษฎ์วโรดม โดยเวทีนี้จะมาคุยกันถึงการจัดการเรียนรู้ที่มีความหมาย เพื่อให้ผู้เรียนอาชีวะเติบโตอย่างสมดุล ทั้งวิชาการ วิชาชีพ และวิชาชีวิต
เป็นอีกครั้งที่เราได้ฟังการแลกเปลี่ยนจากคนที่ทำหน้าที่ “ครู” ทั้งตัวและหัวใจ ครูที่รัก เมตตา ใส่ใจดูแลลูกศิษย์ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ เป็นวงเสวนาคุณภาพคับกล่อง ฟังเพลินและเต็มอิ่มจนเวลา 1 ชั่วโมงครึ่งผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
แม้เส้นทางชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ความฝันสุกสกาวไม่แพ้ใคร
วงเสวนาครั้งนี้ทำให้เราได้เห็นความเป็น “เด็กอาชีวะ” คมชัดสมจริงยิ่งกว่าดูผ่านจอ IMAX จากประเด็นคำถามของอาจารย์ตุ๊กตา - รัชนี วิศิษฎ์วโรดม ผู้ดำเนินรายการเสวนา และคำตอบจากประสบการณ์ตรงของครูอาชีวะ 3 ท่าน คือ ครูเรย์ - เรณุกา หนูวัฒนา วิชาภาษาอังกฤษ แผนกวิชาสามัญสัมพันธ์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี, ครูผึ้ง - ปาริชาต ดอนเมือง สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล วิทยาลัยอาชีวศึกษานครสวรรค์ และ ครูเจน - เจนจิรา สวรรค์ตรานนท์ สาขาการบัญชี วิทยาลัยอาชีวศึกษานครสวรรค์
ต่อคำถามของอาจารย์ตุ๊กตาที่ถามถึงบริบทของผู้เรียนอาชีวะที่ครูเห็นและสัมผัส คำตอบที่ได้ทำให้เราต้องหันกลับมามองเด็กอาชีวะกันใหม่อีกครั้ง
ครูผึ้ง - ปาริชาต ดอนเมือง บอกว่า “เป้าหมายของเด็กคือเรียนจบแล้วทำงานได้เลย พื้นฐานครอบครัวเด็กมีรายได้ปานกลางถึงยากจน ได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองน้อย หลายคนไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่อยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า จำเป็นต้องทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน หารายได้เสริมเพื่อนำมาใช้ในการเรียน เลิกดึกดื่น ตอนเช้าพยายามพาตัวมาเรียน ทำให้เข้าเรียนสายหรือทำการบ้านไม่ทัน”
จากประสบการณ์การเป็นครูมา 30 ปี ครูผึ้งเล่าถึงปรากฏการณ์ใหม่ที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยปรากฏ “สิ่งที่เด็กต้องเจอ ความรับผิดชอบที่มากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ไม่ได้รับคำปรึกษาจากพ่อแม่ จึงรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ นอนไม่หลับ เครียดสะสม จนต้องลาไปหาหมอเพราะเป็นซึมเศร้า”
ด้านครูเจน - เจนจิรา สวรรค์ตรานนท์ ให้ภาพที่สอดคล้องกันว่า เด็กมาจากครอบครัวค่อนข้างยากจน ไม่สมบูรณ์ ขาดความอบอุ่นจากผู้ปกครอง อยู่ในสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม คนรอบตัวติดเหล้า ติดการพนัน “ครูให้เด็กทุกคนทำประวัติ มีข้อมูล เบอร์โทร. ชื่อเล่น ชื่อพ่อแม่ จากทั้งห้อง 30 คน มีประมาณ 5 คน ที่พ่อแม่อยู่ด้วยกัน ซัพพอร์ตลูกได้ นอกนั้นไม่สมบูรณ์ เช่น ไม่รู้ว่าพ่อเป็นใคร รู้ชื่อแม่แต่ไม่รู้ว่าแม่อยู่ที่ไหน พ่อแม่แยกทาง ไม่ได้ส่งเสียให้เรียน เป็นแบบนี้เยอะมาก เด็กอยู่กับญาติ โตมาด้วยตัวเอง อยากเรียนเพื่อมีชีวิตที่ดี”
ถึงตอนนี้ ภาพเด็กอาชีวะที่เราเห็นคือ เด็กที่มีความเป็นนักสู้เต็มตัว (แม้ชีวิตจะสู้กลับเต็มที่!!) รักเรียน ไม่หยุดฝันถึงอนาคตที่สดใส และเชื่อว่าการศึกษาจะช่วยให้คว้าอนาคตนั้นมาได้
ผู้เรียนอาชีวะในฝันของครูผู้สอน
ครูเรย์ - เรณุกา หนูวัฒนา ผู้มีคติประจำใจสมกับเป็นครูภาษาอังกฤษว่า “A ray of sunshine - ครูผู้เป็นแสงที่ส่งพลังดี ๆ ให้คนรอบข้าง” เล่าถึงลูกศิษย์ว่า “สิ่งที่เด็กเกษตรมี คือ จริงใจ มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือ สิ่งที่ครูอยากเพิ่มเติมให้คือเรื่องความมั่นใจ เพราะเด็กไม่กล้าแสดงออก ขาดความมั่นใจ เป้าหมายชีวิตไม่ชัด”
“ผู้เรียนในฝันของครู คือ รับผิดชอบ มีวินัย ยอมรับความแตกต่างได้ ทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข รู้จักเป้าหมาย รู้จักตัวเองเพื่อไปประกอบอาชีพในอนาคตได้อย่างมั่นใจ ภาพฝันของครูเรย์ คือ อยากต่อเติมให้เขามีพลัง ใช้ชีวิตด้วยความอดทนและเข้มแข็งในใจ”
ครูเรย์มีวิธีการพัฒนาลูกศิษย์ที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้ โดยนำกิจกรรมและกระบวนการทางจิตตปัญญาที่เคยเรียนจากโครงการสอนนอกกรอบฯ รุ่นที่ 4 มาใช้เพื่อให้ผู้เรียนได้ประโยชน์ ใช้ใจเรียนรู้ไปพร้อมกับลูกศิษย์ ได้แก่ การเห็นเป้าหมายร่วม การฟัง (ฟังอย่างลึกซึ้ง ฟังแล้วไม่ตัดสิน) การรู้จักขอบคุณและขอโทษ (ทำให้ผู้เรียนมีท่าทีอ่อนโยน) ถอดบทเรียน (ไม่มุ่งที่ผลลัพธ์ แต่มุ่งดูแลใจด้วยคำถาม “รู้สึกอย่างไร” ใช้การปลุก ปลอบ ปรับ เปลี่ยน และฝึกฝนซ้ำ ๆ) จดบันทึก (เพื่อให้เห็นอารมณ์ของตนเอง เป็น storytelling ของตนเอง)
สำหรับการฝึกฝนตนเองนั้น ครูเรย์เปิดใจว่า “เป็นการหล่อหลอมมาจากใจ ฝันอยากมีอาชีพที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นด้วย จึงมาเป็นครู ฝึกตัวเองให้เป็นโมเดลของผู้เรียน ครูคือแม่พิมพ์ของชาติ ส่วนตัวชอบวิถีพุทธ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ทำให้เข้าใจตัวเอง ประกอบกับโครงการสอนนอกกรอบฯ ทำให้รู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้น กิจกรรมประทับใจที่ฝึกฝนตัวเองตลอดและนำมาใช้ในห้องเรียนด้วยคือ ‘สวนในใจ’ รู้จักข้อดีคือเมล็ดพันธุ์ที่ดี (เท่าทันอารมณ์ด้านบวก) ในตัวเอง และวัชพืชหรือข้อด้อย (เท่าทันอารมณ์ด้านลบ) ที่ต้องหมั่นดูแล เป็นกิจกรรมที่เด็กสะท้อนเราได้ทันที เช่น ทำไมวันนี้ครูไม่ยิ้มเลย”
แม้เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้เห็นว่าครูเรย์ได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความกล้า ความไว้วางใจ เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สัมพันธ์กับผู้เรียนได้อย่างเข้าอกเข้าใจ
เข้าใจและรับฟัง... การดูแลที่ใคร ๆ ก็ต้องการ
“อยากเห็นเด็กมี mindset ที่ดี ปรับตัวได้ ยืดหยุ่น ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ถ้าเด็กมี mindset ดี จะส่งผลดีต่อตัวเด็กเอง ต่อการทำงานและการเรียนด้วย” ครูผึ้งเล่าถึงเด็กอาชีวะในฝัน และแชร์วิธีดูแลผู้เรียนโดยให้ keyword สำคัญว่า “เริ่มจากครูเปิดใจ เพื่อเข้าใจเด็ก”
ครูผึ้งอธิบายเพิ่มเติมว่าท่าทีของครูช่วยให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายได้ เด็กอาชีวะมีบริบทเฉพาะตัว ก่อนเริ่มการเรียนการสอนในแต่ละคาบให้ดูก่อนว่าผู้เรียนพร้อมที่จะ “รับ” หรือไม่ เปิดใจรับฟังเรื่องราวของผู้เรียนก่อนการมุ่งสอนเนื้อหา
“การฟังไม่ใช่ฟังผ่าน ๆ แต่ต้องฟังอย่างลึกซึ้ง ฟังให้รู้ว่าเด็กต้องการความช่วยเหลือหรือแค่อยากระบาย ฟังอย่างไม่ตัดสิน เพราะการตัดสินใจเป็นเรื่องของเด็ก อาจทำผ่านกิจกรรม เช่น ให้เด็กผลัดกันเล่าเรื่องดีใจและเศร้าใจ ทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยว มีเพื่อนที่บรรเทาความทุกข์ในใจ ครูก็ได้เรียนรู้ไปพร้อมกับเด็กด้วย”
นอกจากนี้ วิทยาลัยอาชีวศึกษานครสวรรค์ยังมีครูที่เข้าอบรมจิตตปัญญาและนำมาใช้ในห้องเรียน เกิดเป็น “พลังครู” ที่ช่วยกันดูแลผู้เรียน จากลูก (ศิษย์) ฉัน ก็กลายเป็นลูก (ศิษย์) เรา ครูช่วยกันให้คำปรึกษา ดูแลกันด้วยความยืดหยุ่น เป็นเครือข่ายการดูแลกันที่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกดีที่ครูหลายคนเข้าใจ ช่วยเหลือ และยืนอยู่ข้างเขา
สำหรับการนำจิตตปัญญามาสู่ห้องเรียน ครูผึ้งบอกว่า ก่อนหน้านี้มีการเรียนการสอนรูปแบบเดิม จิตตปัญญาทำให้ครูผึ้งลองปรับเปลี่ยนตัวเองแล้วมีความสุขมากกว่าเดิม มีสติอยู่กับปัจจุบัน และค้นพบตัวเองอีก 1 คนที่อยู่ในตัวเรา เป็นคนที่มีความเมตตาและเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้น จึงกล้านำมาสอน ทำให้ผู้เรียนพบศักยภาพและคุณค่าของตัวเอง เปลี่ยนจากต่อต้านสังคมมาเป็นการหันกลับมามองตัวเองมากขึ้น กล้าสะท้อนตัวเอง พัฒนาตัวเอง ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น เกิด mindset ใหม่ที่ดูแลตัวเองและอยู่ร่วมกับคนอื่นได้
Being ของครู ศิษย์รับรู้ได้
ผู้เรียนอาชีวะในฝันของครูเจน คือ “คนที่เห็นคุณค่าตัวเองเพื่อไปสู่ฝัน มีอาชีพเลี้ยงตัวได้ตามที่ตัวเองเลือก” ครูเจนถามตัวเองว่าจะมีส่วนช่วยหรือผลักดันอย่างไรเพื่อให้ผู้เรียนอยู่ในสังคมได้โดยเห็นคุณค่าในตัวเอง และพบว่าคำตอบคือ “การสร้างโอกาส” ที่มาพร้อมกลเม็ดอีกมากมาย ทั้งการฟัง เข้าใจ แนะนำ ช่วยแก้ปัญหา คลี่คลาย และเสริมแรงให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าในตนเอง
ครูเจนเล่าตัวอย่างหลายเคส เช่น มีเด็กมาถามด้วยประโยคซื่อ ๆ ว่า “มีงานให้หนูทำไหม” ครูเจนไม่ปล่อยผ่านและใช้ความเมตตาพูดคุยสอบถาม เมื่อเด็กรับรู้ได้ถึงความใส่ใจและจริงใจของครู ก็ยอมเปิดใจเล่าถึงความทุกข์ว่าพ่อแม่เพิ่งแยกทางกันและไม่มีใครส่งเสียให้เรียน ไปหางานทำก็ไม่มีใครรับเพราะอายุไม่ถึง 18 ปี ครูเจนจึงสร้างโอกาสด้วยการแนะนำให้เด็กทำเรื่องขอทุนการศึกษา ซึ่งก็ได้รับทุนในที่สุด
อีกเคสเป็นผู้เรียนที่ใกล้จบการศึกษาแล้ว แต่จะขอลาออกเพราะมีปัญหากับที่ฝึกงาน ครูเจนใช้วิธีรับฟัง ชวนคุย ตั้งคำถามชวนคิด เพื่อให้เด็กชัดเจนกับเป้าหมายของตัวเอง เห็นภาพรวมของการเดินทางว่าใกล้ถึงเส้นชัยแล้ว อีกนิดเดียวก็จบการศึกษาแล้ว ทำให้เห็นว่าครูเจนไม่ได้ทำหน้าที่แค่สอน แต่ชวนเด็กให้สู้ และไม่ปล่อยให้เด็กสู้อย่างเดียวดาย แต่ครูก็สู้ไปกับเด็กด้วย สิ่งที่ครูเจนทำ คือเน้นให้เด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่ผ่านกิจกรรมที่ให้เด็กทำ แต่ผ่านการกระทำที่มาจากความเป็นตัวครู การร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเด็กจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าครูขาดความรัก ความปรารถนาดี และพลังความทุ่มเทที่มีต่อเด็ก คุณค่าที่หลอมรวมเป็นจิตวิญญาณความเป็นครูนี้ เป็นคุณภาพภายในที่อยู่ในตัวครู เป็น Being (ความเป็นเนื้อเป็นตัว) ของครูเจนที่ส่งผ่านไปสู่เด็กด้วยการแสดงออกและการกระทำที่ทำให้เด็กรับรู้ได้ เห็นคุณค่าในตัวเอง และรู้สึกได้ว่าตัวเองมีค่าในสายตาคุณครู
ส่วนผสมที่ลงตัวของวิชาการ วิชาชีพ และวิชาชีวิต
ครูเจนเป็นตัวอย่างที่ดีของครูอาชีวะที่ “สอนไปสู้ไป” โดยที่ทั้งสอนและสู้อย่างมีทิศทาง
“จิตตปัญญาทำให้เห็นว่าการฝึกเท่าทันตัวเองไม่จำกัดอยู่เพียงการนั่งสมาธิ แต่ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ อีกมากมายที่ได้ผล ตัวครูเองก็ได้ฝึกไปพร้อมกับผู้เรียนด้วย เมื่อฝึกบ่อย ๆ จากคน “พร้อมบวก” ก็กลายเป็นรู้เท่าทันตัวเอง”
นอกจากนำจิตตปัญญาเข้าสู่ห้องเรียนในรูปแบบกิจกรรมแล้ว ครูเจนยังสามารถผสมผสานจิตตปัญญาเข้ากับเนื้อหาวิชาชีพและวิชาชีวิตได้อย่างกลมกล่อม น่าเรียน ไม่น่าเบื่อ แน่นอนว่าคนที่ได้ประโยชน์เต็ม ๆ ก็คือผู้เรียน เช่น กิจกรรม ‘ต้นไม้จรรยาบรรณ เมล็ดพันธุ์สู่นักบัญชี’ เป็นการนำศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ มาโยงเข้ากับวิชาการผ่านการให้ผู้เรียนได้วาดรูปต้นไม้ ลงสีอย่างอิสระ เขียนเติมคุณสมบัติหรือสิ่งที่นักบัญชีควรทำและไม่ควรทำ จรรยาบรรณของนักบัญชี ได้ทั้งสมาธิและวิชาการ กิจกรรม ‘ความดีของเรา’ ที่ทำให้ผู้เรียนได้กลับมามองตัวเอง เห็นสิ่งที่อยากปรับปรุงหรือพัฒนา แล้วนำเอาจำนวนข้อมาหักลบกันโยงเข้าวิชากำไร ขาดทุน เป็นต้น
“สุดท้าย ให้เด็กสะท้อนผ่านการเขียน Reflection Journal ในหัวข้อ ‘ฉันรู้เท่าทันตนเองอย่างไรในการเรียนวิชา... นี้’ ทำให้เด็กได้รู้จักตัวเองและรู้ว่าจะพัฒนาตัวเองอย่างไร”
วงเสวนาครั้งนี้ ครูเจน ครูผึ้ง และครูเรย์ ทำให้เราเห็นว่าสะพานเชื่อมใจของครูและลูกศิษย์ทำให้เกิดพื้นที่ปลอดภัยที่สามารถส่งผู้เรียนให้ก้าวไปสู่ฝั่งฝันได้ บทบาทและท่าทีที่ครูแสดงออกย่อมมาจากคุณภาพด้านในที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยน พร้อมโอบอุ้มให้ครูและศิษย์เติบโตในเส้นทางของตนเองอย่างเปี่ยมไปด้วยคุณค่าและความหมาย